วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จับผิดวิทยาศาสตร์หนังดังของฮอลลีวูด

หลายเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการหายตัวไปในอากาศ เดินทางข้ามกาลเวลา หรือคนเรารู้ว่าจะบินได้อย่างไร โดยข้อมูลที่คลาดเคลื่อนแต่สมจริงเหล่านั้น อาจทำให้เราหลงคิดว่าเป็นเรื่องจริงได้ เมื่อเรื่องราวเหล่านี้โลดแล่นบนจอภาพยนตร์

เมื่อเร็วๆ นี้มีการประชุมนักฟิสิกส์ของสหรัฐฯ โดยในวงสนทนาได้มีการหยิบยกประเด็น "วิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์" ขึ้น โดย ศ.ซิดนีย์ เปอร์โกวิทซ์ (Prof. Sidney Perkowitz) นักฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยอีโมรี (Emory University) สหรัฐฯ ได้นำเสนอแนวคิดถึงนักสร้างภาพยนตร์ว่า ภาพยนตร์ทั้งหลายไม่ควรแหกกฎวิทยาศาสตร์ (อย่างไร้เหตุผล) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหลีกเลี่ยงความไม่สอดคล้องกันในแต่ละฉาก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ต่างเห็นด้วย

“หากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งมีเนื้อหาผิดพลาดซ้ำไปซ้ำมา ที่สุดจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่ผมจะต้านทานได้ ผมเข้าใจถึงแรงบันดาลใจที่น่าตื่นเต้นซึ่งซ่อนอยู่ภายในภาพยนตร์ แต่แนวโน้มคือการกล่าวเกินจริง” ศ.เปอร์โกวิทซ์กล่าว

ขณะที่ ดร.เดวิด เคอร์บี (Dr.David Kirby) อาจารย์ด้านการสื่อสารวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ (University of Manchester) กล่าวว่า ยกตัวอย่างในการเน้นย้ำถึงหายนะที่กำลังใกล้เข้ามา ผู้สร้างภาพยนตร์มักจะละเลยความจริงเกี่ยวกับเรื่องกรอบเวลา เช่น หากเราตรวจพบอุกกาบาตในเรื่อง “อาร์มาเกดดอน” (Armageddon) ล่วงหน้าหลายปี ก่อนที่จะพุ่งชนโลก ภาพยนตร์เรื่องนี้คงขาดบรรยากาศตึงเครียด

“ความผิดพลาดของกรอบเวลา เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพื่อประโยชน์ในการเล่าเรื่อง” ดร.เคอร์บีกล่าว และชี้ว่าภาพยนตร์ไซไฟทั้งหลาย มักยกประเด็นร่วมสมัยขึ้นมาอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ และทำให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมภาพยนตร์สมัยนี้จึงพุ่งเป้าไปที่เรื่องพันธุวิศวกรรม สิ่งแวดล้อม โรคระบาด และจุดจบของโลก

ทั้งนี้ ในความพยายามนำเสนอแนวคิดที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่ออธิบายความเป็นไปได้ของภาพยนตร์นั้น ทำให้ ดร.สตีเฟน เลอ กอมเบอร์ (Dr.Steven Le Comber) นักชีววิทยาวิวัฒนาการ จากวิทยาลัยควีนแมรีคอลเลจ (Queen Mary College) มหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) รู้สึกเจ็บปวด ที่ถูกมองว่า นักวิทยาศาสตร์เป็นเพื่อนดูหนังที่ไม่ดี เขาเพียงแต่ต้องการออกมาชี้ถึง “วิทยาศาสตร์แย่ๆ” ในภาพยนตร์ ซึ่งบางครั้งเป็นเรื่องที่เขาศึกษาอยู่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำลายประสบการณ์ในการออกไปชมภาพยนตร์ของเขา

“หากเป็นภาพยนตร์ที่ดีพอ ผมก็ยินดีให้พวกเขาทำต่อไป ทั้งนี้วิทยาศาสตร์ถูกทำลายด้วยวิทยาศาสตร์แย่ๆ ไม่ใช่ภาพยนตร์แย่ๆ” ดร.เลอ คอมเบอร์กล่าว

พร้อมกันนี้ บีบีซีนิวส์ได้ชำแหละภาพยนตร์ 3 เรื่องที่มีเรื่อง “วิทยาศาสตร์แย่ๆ” ในเนื้อหา

1.Deep Blue Sea (1999)



นำแสดงโดย – แซฟฟอน บัวร์โรว์ส (Saffron Burrows), ซามูล แอล แจ็คสัน (Samuel L Jackson)

เค้าโครงเรื่อง – ทีมนักวิทยาศาสตร์พบวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ โดยใช้โปรตีนที่อยู่ในสมองฉลาม ดังนั้นเพื่อผลิตโปรตีนที่มีประโยชน์อย่างยิ่งนี้ ทีมวิจัยได้สร้างฉลามสายพันธุ์ใหม่ที่มีความฉลาดสุดยอด ซึ่งความฉลาดที่ว่านี้ หมายความว่าฉลามเหล่านั้นมีปริมาณสมองมาก และสามารถเข้าจู่โจมนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในห้องปฏิบัติการใต้น้ำได้ทันที

วิทยาศาสตร์ที่ดูไร้สาระ - นักวิทยาศาสตร์แทงเข็มฉีดยาเข้าสมองฉลามโดยตรง สกัดเอาเซลล์บางตัว แล้ววางไว้ใต้กล้องจุลทรรศน์ จากนั้นมองดูเซลล์แบ่งตัวอย่างสมบูรณ์ ด้วยประกายไฟที่สร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์

“เมื่อเราพูดถึงการยิงสัญญาณของเซลล์ประสาท มันไม่มีปฏิกิริยาที่เหมือนกับการเกิดประกายไฟเลย” ดร.เลอ คอมเบอร์ระบุ

สิ่งที่ควรจะเป็น – เป็นที่ทราบกันว่า สารเคมีจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งซึ่งปกติจะเพาะเลี้ยงขึ้นมานั้น ให้ผลทั้งในการบำบัดรักษาหรือเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตสปีชีส์อื่น และแม้นักวิทยาศาสตร์จะสามารถแยก และจำแนกโปรตีนจากฉลามที่มีฤทธิ์รักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ พวกเขาจำเป็นต้องเพาะเลี้ยงโปรตีนเหล่านั้น ในสิ่งแวดล้อมที่ถูกควบคุม สารละลายอาจเพิ่มโปรตีนในแบคทีเรีย ภายในถังขนาดใหญ่ของห้องปฏิบัติการ เหมือนกับวิธีที่อินซูลินสังเคราะห์ของมนุษย์ถูกผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก

“อีกทั้งการทดลองในห้องปฏิบัติการนั้น ยังทำให้ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับฉลามด้วย แต่นั่นจะทำให้หนังไม่ค่อยน่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่” ดร.เลอ คอมเบอร์

แล้วส่งผลกระทบอะไรหรือไม่? - “เรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่มากนัก โดยไม่ได้ให้แนวคิดที่แท้จริง เกี่ยวกับการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็ไม่ได้สื่อว่านักวิทยาศาสตร์ทำเรื่องแย่ๆ มากไปกว่าอาชีพอื่นๆ” ดร.เลอ คอมเบอร์กล่าว

2.The 6th Day (2000)


science-movie-6days


เค้าโครงเรื่อง – ในปี 2015 ชายคนหนึ่งกลับบ้านในวันเกิดตัวเอง และได้พบว่ามนุษย์โคลนได้เข้ามาแทนที่เขา ทำให้มีมนุษย์ 2 คน ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเลือดและการจับภาพความทรงจำของตัวเขาเอง โดยไม่มีใครรู้ว่าใครคือมนุษย์ต้นฉบับ และตอนจบของภาพยนตร์ คือการเผชิญหน้าระหว่างอาร์โนลด์ ชวาสเนเกอร์ 2 คน ซึ่งรับบทเป็นตัวแสดงนำ

วิทยาศาสตร์ที่ดูไร้สาระ – การโคลนนิงจนสร้างสิ่งมีชีวิตนั้นยากพอแล้ว แต่คนที่แอบทำอย่างผิดกฎหมาย ยังประสบความสำเร็จในการโคลนคนที่ตายแล้ว (ภรรยาของตัวละครเอก) ซึ่ง ศ.เปอร์โกวิทซ์ให้ความเห็นว่า เป็นความโรแมนติกนี้ค่อนข้าง “น่าขยะแขยง” อีกทั้งเขายังเกรงว่า เรื่องนี้อาจทำให้ผู้คนเชื่อว่า เมื่อพวกเขาตายแล้วสามารถเก็บดีเอ็นเอไว้ เพื่อไปโคลนได้ง่ายๆ

ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ดีเอ็นเอนั้นบอบบาง เสียหายและเสื่อมคุณภาพลงอย่างรวดเร็วหลังความตาย และประเด็นนี้เคยถูกจับผิดมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง “จูราสสิค พาร์ค” (Jurassic Park) 7 ปีก่อนหน้าภาพยนตร์เรื่องนี้ลงโรง ซึ่งในเรื่องนั้น ดีเอ็นเอของไดโนเสาร์ถูกเก็บรักษาไว้ในยางอำพันของต้นไม้

สิ่งที่ควรจะเป็น – เนื่องจากเหตุการณ์ในภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นจึงมีความยืดหยุ่นค่อนข้างมาก ในเรื่องของความน่าเชื่อถือ แต่ ดร.เคอร์บีกล่าวว่า มนุษย์โคลนที่ออกมาอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วยความทรงจำของมนุษย์ต้นฉบับนั้นเป็นเรื่องน่าขัน ซึ่ง ศ.เปอร์โกวิทซ์ได้ยกตัวอย่างการเขียนบทภาพยนตร์เกี่ยวกับการสร้างมนุษย์โคลนว่า ควรให้เป็นการสกัดเอาดีเอ็นเอจากร่างกายมนุษย์ ใส่เข้าไปในไข่มนุษย์ แล้วเกิดด้วยวิธีปกติ แทนที่จะสร้างด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งได้คนที่เติบโตโดยสมบูรณ์

แล้วส่งผลกระทบอะไรหรือไม่? - เนื่องจากภาพยนตร์เข้าถึงคนได้มากกว่าอื่นๆ จึงมีผลกระทบต่อสังคมอย่างยิ่ง ศ.เปอร์โกวิทซ์กล่าวว่า การพรรณาถึงการโคลนที่ไม่ถูกต้องนั้น มีส่วนทำให้สาธารณชนเกิดความกลัว และเคลือบแคลงต่อพันธุวิศวกรรม


3.The Core (2003)


sci-film-core


เค้าโครงเรื่อง – เมื่อแกนกลางของโลกอันเกิดหยุดหมุนโดยไม่ทราบสาเหตุ ทีมนักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องมุ่งหน้าสู่ใจกลางโลก และจุดระเบิดไฮโดรเจนเพื่อให้แกนกลางของโลกหมุนอีกครั้ง และชะตากรรมของมนุษยชาติทั้งมวลก็ขึ้นอยู่กับภารกิจดังกล่าว

วิทยาศาสตร์ที่ดูไร้สาระ – เมื่อคณะเดินทางไปถึงใจกลางโลก ตัวเอกของเรื่องเพียงแค่มีเหงื่อชุ่มตัว หากแต่ความจริงแล้ว ศ.เปอร์โกวิทซ์กล่าวว่า ใครก็ตามที่พาตัวเองไปถึงใจกลางโลกได้ พวกเขาจะละลายกลายเป็นไอในทันที

สิ่งที่ควรจะเป็น – ความคิดที่ว่าแกนกลางโลกจะหยุดหมุนนั้น เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อถือ และตลอดทั้งเรื่องมีเพียงฉากอธิบายชั้นต่างๆ ของโลกด้วยลูกพีชและก้อนหิน ซึ่งฉากที่นานประมาณ 1 นาทีนั้น ศ.เปอร์โกวิทซ์มองว่าใช้ได้ ส่วนที่เหลือตลอดทั้งเรื่องให้ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ผิดเพี้ยนทั้งหมด

แล้วส่งผลกระทบอะไรหรือไม่? - ศ.เปอร์โกวิทซ์ให้ความเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้แย่เกินไป แต่ความผิดพลาดที่จงใจนั้น เพียงแค่สร้างความขุ่นเคืองให้กับนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น พร้อมทั้งจัดอันดับให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ไซไฟยอดแย่ของฮอลลิวูด

อย่างไรก็ดี ในความพยายามนำเสนอแนวคิดที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่ออธิบายความเป็นไปได้ของภาพยนตร์นั้น ทำให้ ดร.สตีเฟน เลอ กอมเบอร์ (Dr.Steven Le Comber) นักชีววิทยาวิวัฒนาการ จากวิทยาลัยควีนแมรีคอลเลจ (Queen Mary College) มหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) รู้สึกเจ็บปวด ที่ถูกมองว่า นักวิทยาศาสตร์เป็นเพื่อนดูหนังที่ไม่ดี เขาเพียงแต่ต้องการออกมาชี้ถึง “วิทยาศาสตร์แย่ๆ” ในภาพยนตร์ ซึ่งบางครั้งเป็นเรื่องที่เขาศึกษาอยู่ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำลายประสบการณ์ในการออกไปชมภาพยนตร์ของเขา

“หากเป็นภาพยนตร์ที่ดีพอ ผมก็ยินดีให้พวกเขาทำต่อไป ทั้งนี้วิทยาศาสตร์ถูกทำลายด้วยวิทยาศาสตร์แย่ๆ ไม่ใช่ภาพยนตร์แย่ๆ” ดร.เลอ คอมเบอร์กล่าว


ที่มา
ผู้จัดการออนไลน์

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Clonning โคลนนิ่ง คนก๊อปปี้คน

Clonning โคลนนิ่ง คนก๊อปปี้คน



คำโปรย : " เมื่อความต้องการของคนไม่สิ้นสุด หายนะของคนก็เริ่มขึ้น "
" หายนะของคนปี 2000 ไม่มีใครอันตรายเท่าตัวคุณเอง "

เนื้อเรื่องย่อ: เมื่อดร.จอร์จ หอบเอาการทดลอง “โคลนนิ่งมนุษย์” มาที่ประเทศไทย การทดลองดังกล่าวจึงดำเนินการขึ้นอย่างลับ ๆ โดยมีเจ้าของโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งรับอาสาเป็นนายทุนให้กับโครงการนี้ ด้วยความหวังว่าหากการทดลองชิ้นนี้เป็นผลสำเร็จเขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐี ด้วยการ “ขาย” อวัยวะที่ได้จากการโคลนนิ่ง

“นิวัติ” โปรแกรมเมอร์ที่มุ่งมั่น ทำแต่งานโดยไม่สนใจเหตุการณ์รอบตัว ก็กลายเป็นหนึ่งในเหยื่อการทดลองครั้งนี้…”B-7” ร่างโคลนนิ่งของนิวัติเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว หลุดรอดออกมาสู่โลกภายนอก และพยายามเข้ามาแทนที่ “นิวัติ” แย่งชิงความเป็น “คน” เพื่อความอยู่รอดในโลกมนุษย์ การต่อสู้ระหว่างคน 2 คน จึงเกิดขึ้นโดยมีสิ่งเดิมพันคือ ชีวิต…ครอบครัว และความรัก

Clonnning เป็นภาพยนตร์แนวไซ-ไฟืทริลเลอร์ ที่ว่าด้วยเรื่องราวของนิวัฒน์ หนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ไม่ธรรมดา เมื่อมีชายลึกลับซึ่งมีหน้าตาเหมือนเขาทุกประการ ทำร้ายและพยายามฆ่าเพื่อที่จะมาแทนที่ แย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งเพื่อน ครอบครัว และคนที่เขารักมากที่สุด เมย์ เขาจึงต้องต่อสู้เพื่อทวงชีวิตที่เป็นของเขากลับคืนมา พร้อมกับสืบหาความลับของมนุษย์โคลน ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

โคลนนิ่ง คนก๊อปปี้คน ผลงานการกำกับของ ปิติ จตุรภัทร์ ซึ่งเป็นภาพยนตร?ี่ได้รับรางวัลเกริกเกียรติจากหลายสถาบัน อันเป็นการันตีถึงคุณภาพและความสำเร็จได้เป็นอย่างดี เช่น ผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม ตุ๊กตาเงินนักแสดงดาวรุ่งฝ่ายหญิง



กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

ภาพยนตร์ไทยที่หยิบประเด็นการโคลนนิ่งมาทำ โดยมีหมอไร้จรรยาบรรณคนหนึ่งต้องการโคลนนิ่งมนุษย์ขึ้นมาเพื่อต้องการขายอวัยวะ แต่มนุษย์โคลนกลับรอดและมีความเถื่อน เมื่อรอดแล้วเขาก็ได้รู้จักกับหญิงของนิวัฒน์ และดำเนินเรื่องไปตามเนื้อเรื่อง



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

ก็เหมือนกับหนังหลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการโคลนนิ่งมนุษย์ มาสร้าง แต่ก็เหมือนหลายเรื่องที่ตัวโคลนนิ่งตัวโตเร็วมาก เรียกว่าโตทันตัวต้นแบบทีเดียวซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์โคลนจะโตเร็วขนาดนั้น นี่คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้




science film - clonning

AntiTrust แอนตี้ ทรัสต์ กระชากแผนจอมบงการล้ำโลก



AntiTrust แอนตี้ ทรัสต์ กระชากแผนจอมบงการล้ำโลก

Starring: Ryan Phillippe, Tim Robbins
Director: Peter Howitt
Rated: PG-13
RunTime: 103 Minutes
Release Date: January 2001
Genres: Sci-Fi/Fantasy, Suspense

ไมโล (ไรอั้น ฟิลลิปเป้) เป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์หนุ่มไฟแรงเจ้าอุดมคติ เขาใช้ชีวิตร่วมกับ อลิซ (แคลร์ ฟอร์ลานี่) ศิลปินสาวที่มีอนาคตสดใส ไมโลวางแผนจะเปิดบริษัทร่วมกับเพื่อนสนิทชื่อ เท็ดดี้ เพื่อสานฝันตามอุดมการณ์ "ความรู้เพื่อประชาชน" ของทั้งคู่ แต่เขากลับได้โอกาสงาม ถูกเรียกตัวไปเป็นพนักงานของ N.U.R.V. (Never Underestimate Radical Vision หรือ "อย่าสบประมาทวิสัยทัศน์ ที่จะเปลี่ยนอนาคตชนิดพลิกแผ่นดิน") บริษัทผู้ผลิตซอฟท์แวร์มูลค่าหลายพันล้านเหรียญ ที่บริหารงานโดย แกรี่ วินสตั้น (ทิม ร็อบบิ้น) สุดยอดฝีมือที่เขายกย่องมานาน

วินสตั้น เอาใจใส่ ไมโล เป็นกรณีพิเศษจนออกนอกหน้า เขาต้องการให้บุคลากรผู้ปราดเปรื่อง ก้าวล้ำนำหน้าในเทคโนโลยีด้านการสื่อสารแบบผสมผสาน ที่แข่งขันกันชนิดเอาเป็นเอาตาย สมรภูมินี้จะมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น สำหรับ ไมโล แล้วการเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทชั้นนำนี้ ราวกับฝันเป็นจริง แม้ว่าจะทำให้ เท็ดดี้ ผิดหวัง แต่ข้อเสนอดีๆ อย่างนี้ก็ยากที่จะปฏิเสธได้

เมื่อ ไมโล รู้จักกับเพื่อนร่วมงานสาวสวยและฉลาดเฉลียวชื่อ ลิซ่า (ราเชล ลี คุก) ซึ่งได้รับมอบหมายให้มาช่วยงาน ไมโล โดยตรง เขาก็ยิ่งตื่นตาประทับใจกับอุดมการณ์ที่ วินสตั้น ประกาศกร้าวอยู่เสมอ วินสตั้น เป็นผู้นำองค์กร ที่สร้างแรงกระตุ้นให้ผู้ร่วมงานกระตือรือร้น และไม่เคยปล่อยให้ปัญหาใด ๆ มาเป็นอุปสรรคในการก้าวสู่เป้าหมายได้เลย แต่ข้อมูลใหม่ ๆ ที่ถาโถมเข้ามายัง ไมโล นั้นทั้งล้ำสมัย และไม่เคยขาดระยะ ทำให้เขาเริ่มสงสัยแหล่งที่มาของข้อมูลเด็ดเหล่านั้นขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเกิดเหตุเศร้าสลดกับ เท็ดดี้ ยิ่งทำให้เขาหวั่นใจว่า อาจเป็นอาชญากรรม และความสงสัยใคร่รู้ก็กลับกลายเป็นความหวาดกลัว เป็นไปได้ไหมว่า ไมโล อาจเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ในการแข่งขันกระดานใหญ่ของ วินสตั้น ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และอิทธิพลข่มขู่คุกคาม? หรือว่า วินสตั้น ยอมทุ่มหมดหน้าตัก เพียงหวังเป็นผู้กำชัยในโลกเทคโนโลยีล้ำสมัยนี้? ยิ่งสืบค้นล้วงลึกมากขึ้นเพียงใด ความลับที่หมกเม็ดไว้ก็ยิ่งโผล่ออกมา ไมโลจึงเริ่มเปิดโปงแผนการณ์ชั่วร้าย ที่ออกแบบไว้อย่างแนบเนียน มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิดก็เป็นได้ แต่ยิ่งไมโลถลำลึกเข้าไป ชีวิตของเขาก็ตกเป็นเป้าที่จะถูกกำจัดเข้าไปทุกที บัดนี้ ไมโล รู้ดีอยู่แก่ใจแล้วว่า เขากำลังเดิมพันด้วยชีวิต ทางรอดเดียวที่พอจะเป็นความหวังได้ก็คือ เขาจะต้องคิดค้นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สามารถเอาชนะ N.U.R.V. บริษัทที่มีอิทธิพลมหาศาล, โลภมากไม่รู้จักพอเพียง, และสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคมอย่างไม่สิ้นสุด..

AntiTrust เป็นภาพยนตร์แนวตื่นเต้นลุ้นระทึก ที่จะพาผู้ชมเข้าไปสัมผัสกับโลกลึกลับ ที่ความร่ำรวยและความเฉลียวฉลาด เชือดเฉือนกันอย่างถึงพริกถึงขิง โลกที่คนรุ่นหนุ่มสาวที่ปราดเปรื่อง และมุ่งมั่นทุ่มเทแรงกายแรงใจ ค้นคว้าพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย ที่จะก้าวขึ้นเป็นกลไลสำคัญของเศรษฐกิจโลกทั้งใบ สภาพบรรยากาศของโลกลึกลับ ที่เต็มไปด้วยความลับซุกซ่อนหมกเม็ด, การแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย, และข้อแก้ตัวต่างๆ นานา เพื่อเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่า ยึดครองตลาดเพียงลำพัง เมื่ออัจฉริยะโปรแกรมเมอร์หนุ่มหวั่นใจขึ้นมาว่า กำลังตกอยู่ในโลกแห่งความโกลาหล ที่ไม่เพียงสิ่งต่างๆ รอบตัว จะเป็นอันตรายกับตัวเองถึงชีวิตเท่านั้น หากแต่ไม่อาจไว้เนื้อเชื่อใจใครได้เลยด้วยซ้ำ...

ภาพยนตร์เรื่อง AntiTrust เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ โฮวิท (ผู้เขียนบทและกำกับ Sliding Doors) จากบทภาพยนตร์ต้นฉบับของ โฮเวิร์ด แฟร้งคลิ้น (ผู้เขียนบท The Man Who Knew Too Little, Someone to Watch Over Me และกำกับ Larger Than Life) อำนวยการสร้างภาพยนตร์โดย คีธ แอ็ดดิส, เดวิด นิคเซย์, และ นิค เวชเลอร์, และบริหารงานอำนวยการสร้างโดย เดวิด โฮเบอร์แมน, แอชฮ็อค แอมมิทราซ และ ซี.โอ. เออริคสัน

AntiTrust นำแสดงโดย ไรอั้น ฟิลลิปเป้ (Cruel Intentions, 54, I Know What You Did Last Summer) รับบท ไมโล อัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์หนุ่ม, ราเชล ลี คุก (Get Carter, She's All That, Strike!) รับบท ลิซา, แคลร์ ฟอร์ลานี่ (Boys and Girls, Mystery Men, Meet Joe Black) รับบท อลิส, และ ทิม ร็อบบิ้น (The Shawshank Redemption, Mission to Mars, Arlington Road) รับบท แกรี่ วินสตั้น นอกจากนี้ ยังร่วมแสดงโดย ริชาร์ด ราวน์ทรี (Shaft) รับบท ไลล์ บาร์ตัน, ดักลาส แมคฟาแรน (Sliding Doors) รับบท บ็อบ ชอร์ท

ทีมสร้างสรรค์ของ AntiTrust ประกอบด้วย ผู้ถ่ายภาพ จอห์น ไบเล่ย์ (ผู้ถ่ายภาพ For Love of the Game, As Good As It Gets และภาพยนตร์ IMAX เรื่อง Michael Jordan to the Max) และ ริชาร์ด วอลเด้น (ซีรี่ส์ Dream On), ผู้ตัดต่อ แซ็ค สแตนเบอร์ก (Police Academy, The Matrix ทั้งภาคแรก และภาค 2 ที่กำลังถ่ายทำ), ผู้ออกแบบฉาก แคทเธอรีน ฮาร์ดวิค (Three Kings, Tombstone และ Vanilla Sky ที่กำลังถ่ายทำ), ผู้กำกับศิลป์ ดั๊ก บิกดิน (Snow Falling on Cedars, Mr. Magoo), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มายา มานี (Free Willy 3: The Rescue), ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ ดอน ดาวิส (House on Haunted Hill, Jurassic Park III , The Matrix ทั้งภาคแรก และภาค 2-3 )

วิทยาศาสตร์
การเดินเรื่องโดยใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวแทน เน้นไปในทางที่ล้ำยุค สุดท้ายก็เกิดจากความโลภของคนนั่นเอง อาจจะไม่ได้สาระอะไรมากมายในแง่ของความรู้วิทยาศาสตร์ ได้เพียงการทำให้เชื่อได้ว่า เทคโนโลยีที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้มีอะไรบางอย่างได้ซุกซ่อนแอบแฝงอยู่โดยไม่ทำให้เรารู้สึกได้..เท่านั้นเอง


sci-film-antitrust

Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid อนาคอนดา 2 เลื้อยสยองโลก: ล่าอมตะขุมทรัพย์นรก



Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid อนาคอนดา 2 เลื้อยสยองโลก: ล่าอมตะขุมทรัพย์นรก


Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นใจกลางป่าลึกบนเกาะเบอร์เนียว ที่ซึ่งดอกกล้วยไม้ป่าที่ขึ้นชื่อว่าหายากชนิดหนึ่ง ถือกำเนิดอยู่ มันคือ 'กล้วยไม้สีเลือด'

ดอกกล้วยไม้นี้อาจเป็นกุญแจสำคัญ ที่นำไปสู่การสกัดยาอายุวัฒนะ เมื่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ไฟแรง พากันเดินทางลึกเข้าไปในป่าดงดิบ เพื่อแสวงหากล้วยไม้สีเลือด ด้วยความหวังที่จะค้นพบปริศนาที่มาแห่งยาอายุวัฒนะ ซึ่งจะมีผลต่อไปถึงความก้าวไกลในหน้าที่การงานของพวกเขา และค่าตอบแทนมหาศาลที่จะได้รับ ไม่ช้าพวกเขาก็ได้ค้นว่า นอกจากสภาพอากาศอันแสนเลวร้าย และสภาพป่าอันรกชัฏหนาแน่น ที่ขวางกั้นอยู่ระหว่างพวกเขาและสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้น ในป่าดงดิบมืดมิดแห่งนี้ ยังมีอสรพิษร้ายซุกซ่อนอยู่ เพื่อปกป้องดอกกล้วยไม้ และมันจะหยุดทุกคนที่บังอาจล่วงล้ำเข้ามา ...ไม่ให้ได้กลับออกไป!

สกรีน เจมส์ ภูมิใจเสนอ Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid ภาพยนตร์แนวตื่นเต้นสยองขวัญ ผลงานของ มิดเดิล ฟอร์ก โปรดักชั่น ภาคต่อของ Anaconda ภาพยนตร์ฮิตในบ็อกซ์ออฟฟิศจากปี 1997 ที่แสดงนำโดย จอห์น วอยท์, ไอซ์ คูป, เจนนิเฟอร์ โลเปซ และ โอเว่น วิลสัน

Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid กำกับโดย ดไวท์ ลิตเติ้ล (Murder at 1600, Rapid Fire, Halloween 4: The Return of Michael Myers, Free Willy 2: The Adventure Home) บทภาพยนตร์โดย จอห์น เคลฟิน & แดเนียล เซลแมน (ผู้ร่วมเขียนบท They Nest) และ ไมเคิล ไมเนอร์ (ร่วมเขียนบท RoboCop, เขียนบท Lawnmower Man II) & เอ็ด โนไมเออร์ (ร่วมเขียนบท RoboCop, เขียนบท Starship Troopers, Inspector Gadget) จากเรื่องราวโดย ฮานส์ บาวเออร์ (Highwaymen, Komodo และ Anaconda) และ จิม แคช & แจ็ค เอปส์ จูเนียร์ (The Flintstones in Viva Rock Vegas, Anaconda, Dick Tracy, Turner & Hooch, Top Gun) เวอร์นา ฮาราห์ รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและ จาโคบัส โรส รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ผู้กำกับภาพได้แก่ สตีเฟ่น เอฟ. วินดัน (Rapa - Nui, Robin Hood - Prince of Thieves, Waterworld, Deep Blue Sea) มือลำดับภาพได้แก่ มาร์คัส ดาร์ซีย์ (Dark City, Babe: Pig in the City, Dead Calm) และ มาร์ก วอร์เนอร์ (Driving Miss Daisy, Raging Bull, Stayin' Alive, Rocky III, The Devil's Advocate) ไบรซ์ เพอร์ริน (Dungeons and Dragons, The Thin Red Line, Legends of the Fall) รับหน้าที่โปรดักชั่นดีไซเนอร์ เทอร์รี่ ไรอัน รับหน้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ประพันธ์ดนตรีประกอบโดย เนริดา ไทสัน-ชู (Crocodile Hunter: Collision Course, Freddy's Dead: Final Nightmare) ภาพยนตร์เรื่องนี้เดินทางไปถ่ายทำกันไกลถึงฟิจิ

Anacondas: The Hunt for the Blood Orchid นำแสดงโดย จอห์นนี่ เมสเนอร์ (The Whole Ten Yards, Tears of the Sun), แคดี สตริคแลนด์ (The Grudge, Something's Gotta Give), แมทธิว มาร์สเดน (Helen of Troy, Black Hawk Down), ยูจีน เบิร์ด (8 Mile), ซัลลี่ ริชาร์ดสัน-วิทฟิลด์ (Biker Boyz, Antwone Fisher), นิโคลัส กอนซาเลซ (Resurrection Blvd., รายการ Undressed ทางเอ็มทีวี), คาร์ล ยูน (Forbidden Warriors) และ มอร์ริส เชสนัท (Ladder 49, Confidence)



กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์ตรงที่เป็นพืชชนิดหนึ่ง นั่นคือกล้วยไม้ แต่กล้วยไม้สีเลือดนี้คือพันธุ์อะไร ซึ่งตอบได้ว่ามันไม่มีเป็นพืชที่สมมติขึ้นมาในหนัง ฉะนั้นทุกสิ่งก็เป็นไปได้เมื่อสมมติให้มีแล้ว



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

ในความเป็นจริงกล้วยไม้สีเลือดที่มันหายากก็อาจจะพอน่าเชื่อถือพอๆ กับกล้วยไม้ชนิดหนึ่งที่พบเฉพาะดอยอิทนนน์ในบ้านเรา ประมาณนั้น ซึ่งพืชพันธุ์ไม้หลายชนิดย่อมมีความชอบในภูมิอากาศที่มีลักษณะต่างจากพืชชนิดอื่นๆ ก็เป็นไปได้



sci-film-anaconda2



Alien vs. Predator



STARRING: Sanaa Lathan, Raoul Bova, Lance Henriksen, Ewen Bremner, Colin Salmon
2004,
87 Minutes,
Directed by Paul W.S. Anderson

การผจญภัยที่เหลือเชื่อและน่าสพรึงกลัวเริ่มต้นขึ้น เมื่อนักธุรกิจพันล้าน ชาร์ลส บิชอบ เวย์แลนด์ (แลนซ์ เฮนริคสัน) รวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญ ในหลายสาขาจากนานาประเทศ ทั้งนักโบราณคดี นักวิทยาศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ซึ่งนำทีมโดย อเล็กซา 'เล็กซ์' วู้ดส์ (ซานา เลแธน) ผู้เชี่ยวชาญปัญหาสิ่งแวดล้อมและนักผจญภัย เพื่อสำรวจตรวจสอบ "กระแสความร้อน" ที่ผุดกระจายขึ้นมาจากห้วงลึกของทวีปแอนตาร์คติก

สิ่งที่พวกเขาได้ประจักษ์ต่อสายตา ในความลึก 2,000 ฟุตใต้ผิวน้ำแข็ง สร้างความตื่นเต้นให้ในตอนแรก แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว พวกเขาได้ค้นพบปิรามิด ซึ่งเป็นการผสมกันของวัฒนธรรมแอซเทค, อียิปต์ และกัมพูชา ภายในปิรามิด พวกเขาได้พบกับบรรดาห้องที่ถูกสร้างเรียงเป็นแถว โดยใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากจนเห็นได้ชัดว่า อิทธิพลจากต่างดาว ได้เข้ามามีบทบาทมานานนับพันๆ ปีแล้ว ผนังของห้องเปลี่ยนโครงร่างได้โดยไม่มีใครคาดฝัน ทำให้ลูกทีมต้องติดอยู่ภายใน และทำให้พวกเขาถูกตัดขาดจากการติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน

ในขณะที่กำลังเคลื่อนที่จากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง ความจริงก็เผยตัวเองออกมา : อสุรกายนักล่าจากต่างดาว มีชีวิตอยู่ด้วยการเฝ้ารอการวางไข่ทุกๆ 100 ปีของราชินีเอเลี่ยน โดยบรรดานักรบผู้ล่าต่างดาวรุ่นใหม่ จะได้รับการทดสอบโดยการต่อสู้กับตัวอ่อนของเอเลี่ยน ...ทีมงานจึงต้องล้มลุกคลุกคลาน อยู่ท่ามกลางพิธีกรรมของเรื่องราวที่เหลือเชื่อ - และสงครามระหว่างเอเลี่ยนและนักล่าต่างดาว

ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ...เราคือผู้แพ้!

ในปี 1979 ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ได้เปิดตัวภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ ริดลีย์ สก็อต เรื่อง Alien ซึ่งได้รับเสียงชื่นชม จากทั้งบรรดานักวิจารณ์และผู้ชมทั่วโลก ว่าเป็นผลงานไซไฟที่มีอิทธิพลอย่างมาก ความสำเร็จของภาพยนตร์ ส่งผลให้ทางสตูดิโอได้สร้างภาคต่อๆ มา โดยมีการผจญภัยอีกสามตอนด้วยกัน : ภาพยนตร์ของ เจมส์ คาเมรอน เรื่อง Aliens, ภาพยนตร์ของ เดวิด ฟินเชอร์ เรื่อง Alien3, และภาพยนตร์ของ ฌอง-ปิแอร์ เจอเน็ท เรื่อง Alien Resurrection

ในปี 1987 ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ได้แนะนำสัตว์ประหลาดตัวใหม่จากนอกโลก Predator จากการกำกับฯ ของ จอห์น แมคเทียร์แนน และอำนวยการสร้างโดย จอห์น เดวิส เรื่องราวเกี่ยวกับนักรบจากต่างดาว ที่สามารถพรางตัวให้หายไปจากสายตาได้ และสร้างหายนะในป่าลึก (ในบรรดานักแสดงของหนังเรื่องนี้ ได้แก่ผู้ว่าการรัฐฯ ในเวลาต่อมาถึงสองคนคือ อาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์ และ เจส เวนทูร่า) ภาพยนตร์เรื่อง Predator 2 ซึ่งตามมาในอีกสามปีถัดมา ครั้งนั้น นักล่าจากต่างดาวทำให้เกิดเหตุการณ์นรกแตกขึ้น ในป่าแถบชานเมืองลอสแอนเจลิส

วันนี้ - หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งในสี่ของศตวรรษ ของการเปิดตัวครั้งแรกของหนังเรื่อง Alien เรากำลังจะได้พบกับ Alien vs. Predator หนึ่งในบรรดาภาพยนตร์ไซไฟ ที่ทุกคนตั้งตารอคอยการเผชิญหน้า ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์

การนำ Alien vs. Predator มาสู่จอภาพยนตร์ นับเป็นการเดินทางที่ยาวนานเกือบสิบปี ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ได้พิจารณาเนื้อเรื่องหลายๆ แบบ จนกระทั่งผู้เขียน/กำกับฯ พอล ดับบลิว.เอส. แอนเดอร์สัน (Resident Evil, Mortal Kombat, Soldier, Event Horizon) ได้เข้ามาที่สตูดิโอ พร้อมกับแนวความคิดที่จะเดินเรื่องบนโลกในช่วงเวลาปัจจุบัน โดยเรื่องจะเกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์ใน Predator และ Alien พล็อตเรื่องของแอนเดอร์สันใน AVP ตั้งสมมติฐานว่าพวกนักล่า (Predators) เคยมาเยือนโลกเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ในตอนนั้นพวกมันได้รับการบูชาในฐานะเทพเจ้า และได้สำแดงอิทธิพลอย่างมาก ในวัฒนธรรมเป็นการเฉพาะที่เห็นได้ อย่างในชนเผ่าแอซเทคและมายัน

ในขณะที่กำหนดเรื่องให้กับนิยายเรื่องใหม่นี้ แอนเดอร์สันยังได้สร้างตัวละครที่สำคัญ และการคัดเลือกตัวแสดงให้เชื่อมโยง กับภาพยนตร์เรื่องเอเลียนหลายภาค ตัวละครนักธุรกิจพันล้าน ชาร์ลส บิช็อบ เวย์แลนด์ ถูกเขียนขึ้นเพื่อรับบทโดย แลนซ์ เฮนริคสัน นักแสดงมือเก่าจาก Aliens และ Alien3 แฟนๆ ของเรื่อง Alien จะจำได้จากชื่อกลางและนามสกุลของตัวละคร : เวย์แลนด์ มาจากบริษัท เวย์แลนด์-ยูทานิ องค์การข้ามชาติที่เป็นผู้ส่งยานนอสโตรโมสู่ชะตากรรมโหดร้าย ในการนำเอเลียนกลับมาในหนังภาคแรก และ บิช็อบ เป็นชื่อของหุ่นแอนดรอยด์ที่รับบทโดยเฮนริคสัน ในภาคที่สองและสามของเอเลียน แอนเดอร์สันกล่าวว่า : เวย์แลนด์หาเงินได้จากอุตสาหกรรมไฮเท็คของเขา และเขาเป็นบิดาแห่งหุ่นยนต์รุ่นใหม่ ดังนั้นเมื่อหุ่นแอนดรอยด์บิช็อบ ถูกสร้างขึ้นในอีก 150 ปีต่อมา [ในช่วงเวลาของเรื่อง Aliens] มันจึงสะท้อนถึงผู้สร้าง

สิ่งที่เชื่อมโยงกับหนังภาคต่ออีกอย่างหนึ่งกับ Alien เรื่องแรกคือตัวละคร อเล็กซา 'เล็กซ์' วู้ดส์ นักสำรวจ ผจญภัย และนักสิ่งแวดล้อมวิทยา รับบทโดย แซนนา เลแธน Alien เป็นผู้บุกเบิกในการสร้างตัวละครเอกที่เป็นผู้หญิง ซึ่งตัวละครของ ซิกอนีย์ วีเวอร์ - เจ้าหน้าที่ผู้รับอนุญาต เอลเลน ริปลีย์ ซึ่งแอนเดอร์สันได้แสดงความระลึกถึงในแง่นั้น โดยการสร้างเล็กซ์ผู้ไร้ความกลัวอย่างทัดเทียมกัน

แอนเดอร์สันอยากให้บรรดาอสุรกายดูเหมือนจริง มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ - ซึ่งหมายถึงการใช้เอ็ฟเฟ็ค ที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ให้น้อยที่สุด และใช้พรสวรรค์ของผู้สร้างสรรค์และออกแบบสัตว์อสุรกาย อเล็ค กิลลิส และ ทอม วู้ดรัฟฟ์ จูเนียร์ และผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็ค จอห์น บรูโน่ ซึ่งมีมุมมองร่วมกับแอนเดอร์สันที่ว่า น้อยลงคือมากขึ้น เมื่อเป็นงาน CG ประมาณ 70% ของเอ็ฟเฟ็คในเรื่อง Alien vs. Predator เป็นการแสดงจริงมากกว่าใช้ CG ทุกวันนี้คนดูละเอียดอ่อนมาก จนสามารถรู้สึกได้ว่าถึง 'ความไม่แท้' ในบางครั้งแม้แต่ในงาน CG ที่ดีที่สุด แอนเดอร์สันอยากให้คนดูยอมรับว่าสองสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง กำลังต่อสู้กันแบบตาต่อตา และวิธีที่ดีที่สุดคือให้สู้กันจริงๆ เสียเลย การทำงานกับวู้ดรัฟฟ์และกิลลิส สองมือเก่าจาก Aliens, Alien3 และ Alien Resurrection เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมอบหมายของแอนเดอร์สัน เพื่อให้สมจริงที่สุด จากการทำงานของพวกเขาในหนังเรื่องก่อนๆ ของ Alien - และคาแรกเตอร์ของเอเลียนรุ่นแรก ที่ได้รับการออกแบบโดยของ เอช.อาร์. ไกเกอร์ และพรีเดเตอร์ของ สแตน วินสตัน

ใน Alien vs. Predator วู้ดรัฟฟ์และกิลลิสได้สร้างสรรค์สัตว์ร้าย ด้วยความมุมานะอย่างยิ่งของพวกเขา : ราชินีเอเลียน ที่เป็นแอนิเมโทรนิคซึ่งซับซ้อนที่สุด เท่าที่เคยมีในภาพยนตร์ และเป็นการก้าวกระโดดครั้งยิ่งใหญ่ จากที่เคยมีราชินีปรากฎมาก่อน ส่วนลำตัวของราชินีเอเลียนของกิลลิส/วู้ดรัฟฟ์ ทำงานด้วยระบบไฮโดรลิค ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างรวดเร็ว และควบคุมได้ง่าย บรรดาฉากเคลื่อนไหว ทุกการขยับเยื้อนของราชินี จะถูกบันทึกไว้ด้วยคอมพิวเตอร์ การแสดงจำนวนมากของเอเลียนและพรีเดเตอร์ ได้รับการยกระดับขึ้น ด้วยการใช้หัวแอนิเมโทรนิควิทยุบังคับ ที่สร้างโดยวู้ดรัฟฟ์และกิลลิส ขึ้นอยู่กับความต้องการในแต่ละฉาก หุ่นเอเลียนแอนิเมโทรนิค, บรรดาเอเลียนที่ควบคุมการทำงานด้วยสายเคเบิล, หรือชุดเอเลียน (ตัววู้ดรัฟฟ์เป็นคนใส่เอง) ถูกนำมาใช้

ในขณะเดียวกับที่วู้ดรัฟฟ์สวมชุดเอเลียนในหลายฉาก สการ์ หัวหน้าพรีเดเตอร์ ก็รับบทโดย เอียน ไวท์ ผู้ที่มีความสูง 7' 1" เขาเป็นอดีตผู้เล่นบาสเก็ตบอลของอังกฤษ (เควิน ปีเตอร์ ฮอลล์ เคยรับบทนี้ในเรื่อง Predator และ Predator 2) รูปร่างที่ทรงพลังและความเป็นนักกีฬาของไวท์ นับเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ สำหรับการสร้างสรรค์การแสดงของสการ์

ในขณะที่เอ็ฟเฟ็คของสัตว์ร้าย เป็นมุมมองที่เคร่งครัดของแอนเดอร์สัน ในบางเวลาก็มีการใช้งานสร้างจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งควบคุมดูแลโดย จอห์น บรูโน่ ผู้อำนวยการสร้างมือเก่า (Terminator 2: Judgment Day, Titanic) ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือต้องมั่นใจว่า ราชินีเอเลียนตัวจริงและราชินีในรูปแบบ CG ของบรูโน ทำงานร่วมกันได้อย่างแนบเนียน

Alien vs. Predator นำแสดงโดย ซานา เลแธน (Out of Time, Brown Sugar, Love and Basketball, The Best Man, Life) นักแสดงที่เพิ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโทนี่ จากบทดาราสนับสนุนในละครบรอดเวย์เรื่องฮิต A Raisin in the Sun มารับบท อเล็กซา 'เล็กซ์' วู้ดส์ นักสำรวจและนักผจญภัย ผู้ตกอยู่ท่ามกลางสงคราม ระหว่างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ต่างดาว ร่วมด้วย ราอุล โบวา อดีตนักว่ายน้ำโอลิมปิค และนักแสดงชาวอิตาเลียน ซึ่งเคยแสดงคู่กับไดแอน เลน ใน Under the Tuscan Sun มารับบท เซบาสเตียน เดอ โรซา นักโบราณคดี ที่เชื่อว่ามีอารยธรรมฝังอยู่ใต้ทวีปแอนตาร์กติค เพียงเพื่อที่จะเผชิญกับการค้นพบที่น่าสพรึงกลัวยิ่งไปกว่า, แลนซ์ เฮนริคสัน (Close Encounters of the Third Kind, The Right Stuff, The Terminator, Aliens, Alien3) รับบทเป็น ชาร์ลส บิช็อบ เวย์แลนด์ ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยง กับบรรดาภาพยนตร์หลายตอนเรื่องเอเลียน, อีเว็น เบรมเนอร์ (The Rundown, Black Hawk Down, Trainspotting, Snatch, Around the World in 80 Days) รับบท แกรม มิลเลอร์ วิศวกรเคมีที่ถูกนำมาร่วมทีม เพื่อคำนวณอายุของสิ่งปลูกสร้างโบราณ

ส่วนนักแสดงสมทบอื่นๆ ได้แก่ โคลิน แซลมอน (Resident Evil, Die Another Day), คาร์สเตน นอร์การ์ด (Gods and Generals, D2: The Mighty Ducks), โจเซฟ ไรย์ (Mean Machine), อกาเธ เดอ ลา บูเลย์ (Jefferson in Paris), ทอมมี่ ฟลานาแกน (Charlie's Angels: Full Throttle, All About the Benjamins, Gladiator, Face/Off) และ แซม ทรัฟตัน (Sylvia)

Alien vs. Predator อำนวยการสร้างโดย จอห์น เดวิส, กอร์ดอน แครอลล์, เดวิด กิเล่อร์, วอลเทอร์ ฮิล โดยมี วิค ก็อดฟรีย์, โทมัส เอ็ม แฮมเมล และ ไมค์ ริชาร์ดสัน ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการบริหาร และมี คริส ซิมส์ เป็นผู้อำนวยการสร้างร่วม เดวิด จอห์นสัน (Hilary and Jackie, An Ideal Husband, Resident Evil) ทำหน้าที่ผู้กำกับภาพ, ริชาร์ด บริดเกลน (Resident Evil, Wicker Park) เป็นผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์, อเล็กซ์ซานเดอร์ เบิร์นเนอร์ (Resident Evil, Wrong Turn) เป็นผู้ลำดับภาพ, จอห์น บรูโน (The Abyss, Ghostbusters, Batman Returns, Cliffhanger, True Lies, Titanic, Terminator 2: Judgment Day) และ อเล็ค กิลลิส (Death Becomes Her, Starship Troopers, Alien ทั้งสี่ภาค, Spider-Man และ Spider-Man 2) ร่วมทีมเป็นผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็ค, แม็กกาลี กุยดาสซี (La Femme Nikita, The Professional, Armageddon, The Prince and Me) เป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย, ฮาโรลด์ โคลสเซอร์ (The Thirteenth Floor, The Day After Tomorrow) เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ



กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดนอกโลกองตัว เอเลี่ยนมาจากต่างดาวและพรีเดเตอร์ก็มาจากต่างดาว และเข้ามาเจอกันและเกิดการแย่งชิงสถานที่ ใครดีใครอยู่ เอเลี่ยนมีของเหลวที่เป็นกรดกัดกร่อนได้ ส่วนพรีเดเตอร์ก็ป้องกันกรดนั้นได้ ค่อยมาว่าต่อนะ



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

ขนาดมนุษย์ต่างดาวยังหาตัวเป็นๆ มาดูไม่ไ้ด้ ก็อย่าหวังจะเห็นเอเลี่ยนกับพรีเดเตอร์เลยนะ

เกร็ดวิทยาศาสตร์
มนุษย์ต่างดาว
มนุษย์ต่างดาวน่ามีจริง เนื่องจากใช้ตัวอย่างของมนุษย์เป็นเกณฑ์ ถ้าหากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ (ซึ่งก็อาจจะอยู่ในระบบสุริยะอื่นเช่นกัน) มีสภาพแวดล้อมและธรรมชาติที่เหมาะสม ก็จะต้องมีสิ่งมีชีวิตกำเนืดขึ้น และมีวิวัฒนาการเช่นเดียวกันจนกระทั่งมีสิ่งมีชีวิตในระดับเดียวกันกับมนุษย์

ลักษณะของมนุษย์ต่างดาวก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมหลายๆ อย่างบนดาวเคราะห์ดวงนั้น เช่น ดาวเคราะห์ขนาดเล็กหรือใหญ่ อากาศที่หายใจเป็นแก๊สอะไร แรงโน้มถ่วงมากน้อยเพียงใด อาหารเป็นอะไร แสงสว่างและความร้อนบนดาวเคราะห์เป็นอย่างไร และอื่นๆ อีกมากมาย

แล้วที่ใดล่ะจะพอที่จะพบมนุษย์ต่างดาวได้ นักวิทยาศาสตร์ก็เล็งไปที่ดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของเรามากที่สุด นั่นก็คือ ดาวเอปซีลอน เอริดานิ (Epsilon Eridani) ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโลก 10.8 ปีแสง
ปัจจุบันโครงการ SETI หรือโครงการค้นสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่ทรงปัญญาอยู่ โดยโครงการนี้ได้ส่งสัญญาณออกไปในจักรวาลรวม 5 ครั้ง คือส่งคลื่นวิทยุ 1 ครั้ง ส่งเป็นภาพแกะสลักบนแผ่นโลหะ 2 ครั้ง และเป็นวิดีโอดีสก์ 2 ครั้ง


sci-film-avp

12 Monkeys 12 ลิงมฤตยูล้างโลก



STARRING: Bruce Willis, Madeleine Stowe, Brad Pitt, Christopher Plummer
1995,
131 Minutes,
Directed by: Terry Gilliam

เรื่องย่อ

ระหว่างความมีสติและความบ้า ความเพ้อฝัน และความเป็นจริง อดีตและอนาคต สู่การผจญภัยไกลเกินขอบเขตมนุษย์หยั่งรู้ บรู๊ซ วิลลิส แมเดอลีน สโตว์ และแบรด พิทท์ แสดงนำในภาพยนตร์วิทยาศาสตร์สุดระทึก ผลงานชิ้นเอกของ เทอร์รี่ กิลเลียม ผู้กำกับที่ได้รับการกล่าวขานจาก ThefFisher King.

(วิลลิส).เดิน ทางมายังโรงพยาบาลโรคจิตแห่งหนึ่ง จากการอาสาเป็นผู้เดินทางข้ามเวลาในปี คศ. 2035 มาสู่โลกปัจจุบัน ด้วยภารกิจพิทักษ์ชีวิตประชากรของโลก ให้รอดพ้นจากเชื้อไวรัสร้าย ที่คร่าชีวิตผู้คนในอนาคต ณ ที่นี้เขาได้พบกับจิตแพทย์สาวสวย.(สโตว์).ที่ คิดว่าโคลเป็นเพียงชายเสียสติผู้หนึ่ง

แต่ไม่นานเธอร่วมมือกับเขาเพื่อภารกิจสำหรับมวลมนุษย์ชาติ ด้วยการไขปริศนาแห่งกองทัพลิงสิบสองตัว การปฏิบัติงานครั้งนี้เขาและ.เธอต้องข้องเกี่ยวกับคนไข้โรคจิตผู้หนึ่ง.( พิทท์).และ.นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง.(คริสโตเฟอร์ พลัมเมอร์).สู่การไขปริศนาและ.บรรลุ ภารกิจก่อนที่จะสายเกินเยียวยาขณะเดียวกันโคลตระหนักว่าปริศนาในโลกที่แสน มืดมนนี้มีอยู่มากมาย แต่คำตอบเพื่อไขความกระจ่างนั้น มีอยู่น้อยเหลือเกิน


กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

หนังพูดถึงว่าในอนาคตที่เกิดโรคร้ายระบาดและทำให้คนตายจนอยู่ผู้ที่รอดไม่สามารถจะอาศัยอยู่บนพื้นโลกได้ ต้องไปอยู่ใต้ดิน และได้มีการเดินทางย้อนเวลาไปเวลาที่เกิดโรคระบาดเพื่อไปเอาไวรัสระยะแรกมาคิดค้นและหาทางรักษาโรคชนิดนี้



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

ยังคงเป็นเรื่องของการย้อนเวลานั่นเอง แม้ว่าทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มีทางทำสำเร็จเพราะวัตถุนั้นไม่สามารถทำให้มีขนาดเล็กลงจนหายไปได้ เพราะถ้าอาศัยทฤษฎีของไอสไตน์แล้ว มวลสารต้องเล็กในขณะที่ความเร็วเพิ่มขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา




sci-fi movie - 12monkey

เกร็ดวิทยาศาสตร์

การย้อนเวลา
การเดินทางไปในเวลาที่ไม่ใช่ปัจจุบัน อาจจะเป็นอดีตหรืออนาคตนั้น ที่พอจะมีทางเป็นไปได้(อ้างจากข้อเขียนของคุณชัยคุปต์ในหนังสือมนุษย์กับจักรวาล หน้า 213) ดังนี้

1. การเดินทางไปกับเวลาโดยอาศัยการเคลื่อนที่ความเร็วสูงมากๆ
คนที่เดินทางเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสัมพัทธ์สูง เวลาของเขาจะเคลื่อนที่ช้ากว่าเวลาของคนปกติ

2. การเดินทางไปกับเวลาโดยอาศัยความโน้มถ่วงสูงมากๆ
คนที่อยู่ในความโน้มถ่วงสูงมากๆ เวลาจะเคลื่อนที่ช้ากว่าคนที่อยู่ในที่มีความโน้มถ่วงน้อยกว่า เช่น คนบนดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เวลาของเขาจะเคลื่อนที่ช้ากว่าคนบนดาวเคราะห์ขนาดเล็กกว่า

3. การเดินทางไปกับเวลาโดยการแช่แข็ง
เพราะคนที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ แล้วถูกปลุกให้ตื่นฟื้นขึ้นมาในอนาคต เวลาในช่วงที่เขาถูกแช่แข็งอยู่ ก็เหมือนกับหยุดอยู่กับที่สำหรับเขา จนกระทั่งเมื่อเขาถูกปลุกให้ตื่น เขาก็จะตื่นขึ้นมาในอนาคต

สำหรับการเดินทางกลับไปสู่อดีต ที่พอจะเป็นทฤษฎีชัดเจนคือ กรณีของการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากกว่าแสงเสมอของอนุภาคที่ถูกตั้งชื่อเรียกว่า "เตคีออน" (tachyon : ภาษากรีก แปลว่า อนุภาคความเร็วเป็นเลิศ)แต่จนกระทั่งปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า เคตีออนมีจริง ส่วนเรื่องของปฏิอนุภาค ดังเช่น "โพซิตรอน" ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บางคนมองว่า เป็นอิเล็กตรอนเดินทางกลับคืนสู่อดีตนั้น ก็มีอายุสั้นมาก และยังมองไม่เห็นทางกันว่าจะนำมาใช้ให้เกิดเป็นเทคโนโลยีนำมนุษย์เดินทางกลับคืนสู่อดีตได้อย่างไร

สำหรับเรื่องการเดินทางสู่อดีตโดยผ่านทาง "รูหนอน" ในอวกาศซึ่งเป็นข่าวฮือฮากันมากจากวงการฟิสิกส์เมื่อกลางปี พ.ศ. 2532 ก็ยังเป็นเพียงความคิดทฤษฎีที่แม้แต่คนคิดก็ยังมองไม่เห็นทางว่าจะนำมาใช้เป็นวิธีการเดินทางสู่อดีตได้จริงๆ อย่างไร ถ้ารูหนอนมีจริงนะครับ

สำหรับประเด็นว่าถ้ามีการเดินทางไปสู่อดีตได้จริง ทำไมคนในอนาคตไม่สร้างแล้วเดินทางมาในอดีตอย่างในปัจจุบันของเรา ก็อาจจะมี 2 กรณี
1. มนุษย์ไม่มีวันสร้างยานย้อนเวลาได้จริงๆ
2. ถ้าสร้างได้จริง ก็อาจจะมีเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้

A.I. ARTIFICIAL INTELLIGENCE จักรกลอัจฉริยะ



A.I. ARTIFICIAL INTELLIGENCE จักรกลอัจฉริยะ

STARRING: Haley Joel Osment, Jude Law, William Hurt, Frances O'Connor, Sam Robards, Brendan Gleeson
2001,
145 Minutes,

Directed by: Steven Spielberg

เมื่อถึงวันที่ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอจนแทบไม่เหลือ และเทคโนโลยีก้าวล้ำเกินกว่าจินตนาการ วันที่บ้านพักของคุณ จะถูกจับจ้องตรวจตราอยู่ตลอดเวลา, อาหารที่คุณรับประทาน ผ่านกระบวนการทางวิศวพันธุกรรมหลายขั้นตอน, และผู้ที่บริการเสิร์ฟคุณอยู่นั้น ก็ไม่ใช่คนเลยแม้แต่กระเบียดนิ้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนประดิษฐ์ขึ้น ไม่ว่าจะเป็น งานทำสวน, งานดูแลบ้าน, แม้แต่เพื่อนชวนคุย - ก็จะมีหุ่นยนต์ ตอบสนองทุกความต้องการให้กับคุณได้ เว้นแต่เพียง ความรัก อย่างเดียวเท่านั้น

อารมณ์ความรู้สึกเป็นปราการด่านสุดท้าย และยังคงถกเถียงถึงการสร้างให้เป็นจริง ในยุคปฏิวัติหุ่นยนต์อยู่อย่างกว้างขวาง หุ่นยนต์ทั้งหลายถูกจัดชั้นไว้ เป็นเพียงเครื่องจักรกลซับซ้อนเกินบรรยาย แต่พวกมันก็ยังคงไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ดี ในขณะที่พ่อแม่หลายคู่ที่ยังไม่อาจมีบุตรของตัวเองได้ โอกาสที่จะสร้างบุตรหุ่นยนต์ ให้มีอารมณ์ความรู้สึก ก็ยังคงเป็นไปได้อย่างมาก

บริษัท Cybertronics Manufacturing ก็สร้างความเป็นไปได้ ให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ เขาคือ เดวิด (รับบทโดย ฮาลี่ย์ โจเอล ออสเม็นต์) หุ่นยนต์เด็กตัวแรกที่ถูกตั้งโปรแกรมมาให้รักเป็น

โครงการทดสอบหุ่นยนต์เด็กรุ่นล่าสุดนี้ ทำให้เดวิดถูกส่งไปอยู่ในอุปถัมภ์ ของพนักงานคนหนึ่งในบริษัท Cybertronics ชื่อ เฮนรี่ สวินตั้น (รับบทโดย แซม โรบาร์ด) และภรรยา โมนิก้า สวินตั้น (รับบทโดย ฟรานเซส โอ'คอนเนอร์) ทั้งคู่มีบุตรชายที่ป่วยหนักจนต้องแช่แข็งไว้ รอวิทยาการทางการแพทย์ หาทางรักษาในอนาคต แม้ว่าเดวิดจะค่อยๆ กลมกลืนเข้ากับครอบครัว จนเป็นเสมือนบุตรชายที่ได้รับทั้ง ความรัก และความอบอุ่นคุ้มครอง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันสารพัด ก็ยังคงขวางกั้นเดวิด ไม่ให้อาจใช้ชีวิตเยี่ยงเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งได้อยู่นั่นเอง

เมื่อ เดวิด ไม่อาจเข้าได้กับทั้ง คน และเครื่องจักรกล เดวิดจึงออกเดินทาง ค้นหาสังคมที่เขาสามารถเข้าร่วมได้อย่างสนิทใจ โดยมีเพียง เท็ดดี้ (ให้เสียงพากย์โดย แจ็ค แองเจล) ตุ๊กตาหมีซุปเปอร์ทอย ที่เป็นทั้งเพื่อนเล่นและผู้พิทักษ์ ซึ่งการเปิดโลกทัศน์ครั้งสำคัญนี้ ยังทำให้เดวิดเข้าใจซึ้งถึงขอบเขต ที่แบ่งโลกของหุ่นยนต์กับจักรกลออกจากกัน มันช่างน่ากลัว และแทบไม่อาจแยกแยะออกจากกันได้เลยทีเดียว...

Warner Bros. Pictures และ DreamWorks SKG ร่วมกับ Amblin Entertainment และ Stanley Kubrick Productions ภูมิใจเสนอ A.I.- Artificial Intelligence ผลงานการสร้างและกำกับภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก อำนวยการสร้างโดย แค็ธลีน เค็นเนดี้, สตีเว่น สปีลเบิร์ก และ บอนนี่ เคอร์ติส จากบทภาพยนตร์ที่ สปีลเบิร์ก เขียนขึ้นจากบทภาพยนตร์ดั่งเดิมของ เอียน วัตสัน ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องสั้น "Supertoys Last All Summer Long" ของ ไบรอั้น อัลดิส นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เลื่องชื่อชาวอังกฤษ

แจน ฮาร์แลน ผู้บริหารงานสร้างภาพยนตร์คู่บุญของ สแตนลี่ คูบริค มานานแสนนาน ร่วมกับ วอลเตอร์ เอฟ. พาร์คเกส บริหารงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้

ภาพยนตร์เรื่อง A.I.- Artificial Intelligence นำแสดงโดย ฮาลี่ย์ โจเอล ออสเม็นต์ (จาก The Sixth Sense, Pay It Forward), จู้ด ลอว์ (จาก The Talented Mr. Ripley, Enemy at the Gates), ฟรานเซส โอ' คอนเนอร์ (จาก Mansfield Park, Bedazzled และ Windtalkers ที่จะออกฉายเร็วๆ นี้), แซม โรบาร์ด (จาก American Beauty), เบร็นแดน กลีสัน (จาก Mission: Impossible II), วิลเลี่ยม เฮิร์ท (จาก One True Thing, Lost in Space, Kiss of the Spider Woman), แจ็ค แองเจล ที่พากย์เสียงเสริม ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นมาแล้วมากมาย เช่น Toy Story 2, Tarzan, The Prince of Egypt, ฯลฯ โดยมี เบน คิงส์ลีย์ นักแสดงฝีมือเยี่ยม มาให้เสียงบรรยายเรื่อง

นอกจากนี้ ยังพรั่งพร้อมไปด้วย ทีมงานภาพยนตร์มือฉมังมากมาย นำโดย จานัส คามินสกี้ ตากล้องเจ้าของรางวัลออสการ์จาก Schindler's List และ Saving Private Ryan, ไมเคิ้ล คาห์น ผู้ตัดต่อภาพยนตร์ เจ้าของรางวัลออสการ์ถึง 3 รางวัลจาก Schindler's List, Saving Private Ryan และ Raiders of the Lost Ark, ริค คาร์เตอร์ (Cast Away, Amistad) ผู้ออกแบบสร้างสรรค์ฉาก ที่เคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว, บ๊อบ ริงวู้ด ผู้ออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่เคยได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วจาก Empire of the Sun และ จอห์น วิลเลี่ยม (จาก Star Wars: Episode 1 - The Phantom Menace) ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ฝีมือฉกาจ เจ้าของรางวัลออสการ์หลายรางวัล

นอกจากนั้นก็ยังมี ศิลปินผู้เชี่ยวชาญงานสร้างภาพโลกล้ำอนาคต เข้าร่วมงานกับสปีลเบิร์ก ในภาพยนตร์เรื่อง A.I.- Artificial Intelligence อีกมากมาย อาทิ สแตน วินสตั้น ผู้ชำนาญงานเอ็ฟเฟ็คเม็คอัพ และหุ่นยนต์กลไก ซึ่งเคยฝากผลงาน ในภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยเอ็ฟเฟ็คหลายเรื่อง และได้รับรางวัลออสการ์มาแล้วจาก Jurassic Park, Terminator 2: Judgment Day และ Aliens, เดนนิส เมอเร็น และ สก็อต ฟาร์ราร์ แห่ง Industrial Light & Magic (ILM) ผู้เชี่ยวชาญงานวิช่วลเอ็ฟเฟ็คสุดบรรเจิด เป็นผู้ดูแลงานสร้างภาพเอ็ฟเฟ็คเลิศหรูในภาพยนตร์เรื่องนี้, ไมเคิ้ล แลนเทียรี่ มือเอฟเฟ็ครางวัลออสการ์จาก Jurassic Park มาประสานงานเอ็ฟเฟ็คเบ็ดเตล็ด และ คริสโตเฟอร์ เบเกอร์ เป็นผู้ประสานงานศิลป์ทั้งหมด

ภาพยนตร์เรื่อง A.I.- Artificial Intelligence จัดจำหน่ายทั่วโลกโดย บริษัทภาพยนตร์ Warner Bros. Pictures หนึ่งในเครือบริษัทAOL Time Warner Company



กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

กล่าวถึงหุ่นยนต์ที่มีความรู้สึกได้ แล้วหุ่นยนต์ตัวนี้รู้สึกแปลกแยก เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์และไม่ใช่หุ่นยนต์แบบก่อน จึงยากที่จะมีคนเข้าใจในความรู้สึกของเขา



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

การสร้างหุ่นยนต์ที่มีความรู้สึกนึกคิดได้ เป็นสิ่งที่ยังไกลเกินกว่าที่เราจะคาดคิดถึง เพราะหุ่นยนต์ธรรมดาที่สามารถทำงานตามคำสั่งของเราได้นั้นก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น ถึงแม้ว่าคนเราจะพยายามที่จะสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาเพื่อให้ทำงานในสิ่งที่เราต้องการที่จะหลีกเลี่ยง แต่การที่หุ่นยนต์จะมีความคิดเป็นของตนเองนั้นอาจจะต้องรอให้เทคโนโลยีที่พัฒนาไปมากกว่านี้อีกสัก 2 เท่านะผมว่า(แบบคนไม่ค่อยทันสมัย)


science-movie-ai


ดูหนังเรื่องนี้แบบต้นฉบับ

2012 วันสิ้นโลก

2012 วันสิ้นโลก (Sony Pictures)

2012 วันสิ้นโลก กำหนดฉาย : 12 พฤศจิกายน 2009
2012 วันสิ้นโลก หนังแนว : Action, Sci-Fi
2012 วันสิ้นโลก นำแสดงโดย : จอห์น คูแซค (แจ็คสัน เคอร์ติส), อาแมนด้า พีท (เคต), แธนดี้ นิวตัน, แดนนี่ โกลเวอร์ (ประธานาธิบดีวิลสัน), โอลิเวอร์ แพลท (คาร์ล แอนฮูเซอร์), วู้ดดี้ ฮาร์เรลสัน, ชิวีเทล เอจิโอฟอร์ (เอเดรียน เฮล์มสลีย์)
2012 วันสิ้นโลก กำกับโดย: โรแลนด์ เอ็มเมอริค
2012 วันสิ้นโลก แต่ง: โรแลนด์ เอ็มเมอริค ,แฮโรลด์ โคลเซอร์



2012
ปี ค.ศ.2012 (พ.ศ.2555) จะเกิดอะไรขึ้นกับโลก โลกจะถึงกาลอวสานหรือไม่ หนังที่ทำมาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่คนไทยส่วนน้อยที่จะรับรู้ โดยทางสหรัฐอเมริกาปกปิดไม่ให้คนส่วนใหญ่รับรู้

เข้าฉายวันที่ : 12 พ.ย. 52

เรื่องย่อ
แจ็คสัน เคอร์ติส (จอห์น คูแซค) และลูกอีกสองคนอยู่ระหว่างการเดินทางไปเยลโล่สโตน เมื่อพวกเขาเปิดเผยถึงการค้นคว้าเพื่อความสบายของมวลชน และความลับของอโพคาลิพส์ที่แสนอันตราย แจ็คสัน ต้องปกป้องครอบครัวของเขาจากแผ่นดินไหว ลาวาระเบิด สึนามิ และภัยธรรมชาติอื่นๆ เหมือนที่เผ่ามายันโบราณเคยวาดถึงวันแห่งอโพคาลิพส์ไว้


วิทยาศาสตร์กับความเป็นไปได้
ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้ สร้างกระแสได้ดี เพราะทั้งผู้ใหญ่และเด็กเล็กก็พากันกลัวโลกแตกแบบในหนัง จนปัจจุบัน(กรกฎาคม 2553) ยังมีนักเรียนหลายคนถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เลย พวกเขาฝังใจว่าอีก 2 ปีข้างหน้ามัจจะเกิดขึ้นจริง จะอธิบายไปอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่คลายความกังวลลงทีเดียว

หนังอ้างภาวะโลกร้อนและอื่นๆ ตามที่มีข้อมูลในปัจจุบันทำให้หลายคนเกิดความเชื่อเช่นนั้น แต่ในสภาพความเป็นจริง คงจะไม่เกิดรุนแรงแบบในหนัง แต่ก็คงจะมีบ้าง เช่น แผ่นดินไหว ที่ไหวอยู่แล้ว และบ่อยขึ้น ฝนแล้ง น้ำท่วม หลุมยุบ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นจริงที่เราควรใส่ใจ ไม่ใช่รอให้เกิดแบบในหนังแล้วก็ไม่มีทางแก้ไขได้

มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้แต่ไม่รุนแรงเหมือนในภาพยนตร์ และไม่ใช่ปี 2012 ตามที่หนังบอกไว้ อาจจะหมื่นปีข้างหน้าหรือแสนปีหรือล้านปี ไม่มีใครบอกได้อย่างชัดเจน ก็คงจะหวังไว้ว่า ถ้าหากบล๊อกนี้อยู่ได้จนครบแสนปี ตอนนั้นก็คงจะมีคนบอกได้แล้วว่าหนังสร้างมานั้นจริงมากน้อยเพียงใด

แต่หนังก็ดูมันและสะใจพวกคอหายนะทั้งหลายดีครับ ... อีกเรื่องที่อยู่ในดวงใจผม


science movie - 2012

Next นัยน์ตามหาวิบัติโลก



Next นัยน์ตามหาวิบัติโลก

แนว : แอ็คชั่น / Sci-Fi / ระทึกขวัญ
ความยาว : 96 นาที
กำหนดฉาย : 10 พฤษภาคม 2550

คริส จอห์นสัน (นิโคลัส เคจ) เกิดมาพร้อมพลังพิเศษในการมองเห็นอนาคต แต่พลังที่เขาได้รับมีขนาดจำกัด เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น ล่วงหน้าเพียง 2 นาทีเท่านั้น และทรมานกับพลังนี้มานานหลายปี คริสปิดบังตัวตนมานาน เขาใช้พลังพิเศษหากินในแอลเอ โดยเป็นนักมายากลและเล่นพนันเล็กๆ น้อยๆ เขาไม่รู้ตัวว่า เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ คัลลี่ เฟอร์ริส (จูเลี่ยน มัวร์) กำลังจับตาดูเขาอยู่ เพราะเธอกำลังมองหาคนที่จะมาช่วยป้องกันประเทศ จากการก่อการร้ายในอนาคต

เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายขู่จะปล่อยระเบิดนิวเคลียร์ถล่มแอลเอ เฟอร์รี่ก็ออกตามหาตัวคริสเพื่อขอความช่วยเหลือ คริสไม่เต็มใจให้ความร่วมมือกับรัฐบาลนัก เพราะเคยถูกจับเข้าเครื่องทดลองในวัยเด็ก ความหวังเดียวในชีวิตของเขา คือการได้อยู่กับ ลิซ (เจสสิก้า บีล) หญิงสาวที่เขารัก ทั้งคู่หนีไปด้วยกัน แต่ไม่นาน ก็ต้องยอมแพ้ต่อการตามล่า และคริสต้องเผชิญกับข้อเสนอสุดท้าย ที่ยากแก่การตัดสินใจ...

Next สร้างจากนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง The Golden Man ของ ฟิลลิป เค ดิค นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ที่ผลงานได้รับการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Minority Report, Blade Runner, Total Recall, Paycheck

ภาพยนตร์เรื่อง Next ถล่มทุนสร้างรับประกันความมันกว่า 70 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,000 ล้านบาท อำนวยการสร้างโดยทีมสร้างมือพระกาฬจาก Ghost Rider, The Departed และ Big Fish

Next นำแสดงโดยซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวู้ด นิโคลัส เคจ จาก Ghost Rider, Con Air, Face/Off และเจ้าของรางวัลออสการ์ดารานำชายยอดเยี่ยมปี 1995 จาก Leaving Las Vegas และ จูเลี่ยน มัวร์ ยอดฝีมือฝ่ายหญิงที่เข้าชิงออสการ์มาแล้ว 4 ครั้งจาก Far From Heaven, The Hours, The End of the Affair และ Boogie Nights ร่วมด้วย เจสสิก้า บีล (Blade: Trinity, Stealth, The Texas Chainsaw Massacre, The Illusionist)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับโดย ลี ทามาโฮริ (xXx: State of the Union, Die Another Day, Along Came a Spider, The Edge, Mulholland Falls) จากบทภาพยนตร์โดย แกรี่ โกลด์แมน (Total Recall, Navy Seals, Big Trouble in Little China), โจนาธาน เฮนส์ลี (Die Hard with a Vengeance, The Punisher, Jumanji, Armageddon) และ พอล เบิร์นเบิม (Hollywoodland) อำนวยการสร้างโดย นอร์แมน โกไลท์ลี่ (Ghost Rider, World Trade Center, The Wicker Man), ท้อดด์ การ์เนอร์ (The Fog, xXx, xXx: State of the Union, Radio), เกรแฮม คิง (Blood Diamond, The Departed, The Aviator, Gangs of New York), อาร์น ชมิดท์ (Big Fish, We were Soldiers, Rules of Engagement)

กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

การมองเห็นอนาคตอย่างชัดเจนจนกระทั่งให้ตนเองหลบเลี่ยงอันตรายต่างๆ ได้เป็นสิ่งที่ทุกคนคงอยากจะมีอย่างน้อย ก็เพื่อความปลอดภัยของตนต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวแม้จะมองเห็นล่วงหน้าเพียง 2 นาทีก็ตาม

ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

จะหยิบยกทฤษฎีใดมาอธิบายล่ะ เพราะมันไม่มี ไม่ใช่ปรากฏการณ์เดจาวู และไม่ใช่การทำนายอนาคตแต่มันเป็นการเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ในอีก 2 นาที เอาเป็นว่ายังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้ ถ้าเกิดมันเป็นจริงๆ นะ แต่ถ้าหากมันเป็นไปได้จริงๆ ก็คงจะมีประโยชน์อย่างมากในการต่อต้านการทำร้ายทำลายชีวิตและมันคงจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก เช่น คนตายน้อยลง ความไม่แน่นอนของการดำเนินชีวิตที่สำคัญคนที่มีพลังงานนี้คงจะดำรงชีวิตแบบไม่มีความสุขแน่ๆ


sci-fi-film-next

Push-พุช โครตคนเหนือมนุษย์



Push

ชื่อภาษาไทย - พุช โครตคนเหนือมนุษย์

จัดจำหน่ายโดย UIP

กำหนดฉายหนัง 12 กุมภาพันธ์ 2552

เรื่องย่อหนัง Push

หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญ Push จะดึงคุณสู่โลกการจารกรรมด้วยพลังจิตที่สุดอัศจรรย์และอันตรายทะลุพิกัด กับปฏิบัติการของกลุ่มคนที่มีพลังเหนือธรรมชาติหลากรูปแบบไม่ว่าจะใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ มีญาณทิพย์มองเห็นอนาคต และสร้างโลกแห่งความเป็นจริงขึ้นมาใหม่ หรือแม้แต่ฆ่าคนโดยที่ไม่ต้องแตะต้องเหยื่อ และเนื้อเรื่องยิ่งสนุกสนานขึ้นเมื่อหนึ่งหนุ่มกับสาวแรกรุ่นต่อสู้กับองค์กรลับเพื่อกำหนดอนาคตของมวลมนุษยชาติ

"ดิวิชั่น" องค์กรลับของรัฐบาลทำการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมพลเรือนให้เป็นกองทัพนักรบพลังจิต หากใครไม่ยอมเข้าร่วมองค์กรนี้ก็จะถูกกำจัดอย่างโหดเหี้ยม

นิค แกนท์ (คริส อีแวนส์) นักโทรจิตรุ่นที่ 2 หรือ "จอมเคลื่อนย้าย" ตั้งแต่ดิวิชั่นฆ่าพ่อเขาเมื่อหลายสิบปีก่อน เขาจึงใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในฮ่องกง ประเทศที่มีประชากรหนาแน่นและปลอดภัยที่สุดในโลกนี้สำหรับนักพลังจิตอย่างเขา ตราบใดที่เขาไม่เปิดเผยเรื่องพลังวิเศษของตัวเอง

แต่นิคจำต้องเปิดเผยตัวเมื่อ แคสซี่ โฮล์มส์ ( ดาโกต้า แฟนนิ่ง) สาวน้อยวัย 13 ปี ผู้มีญาณทิพย์ หรือฉายา "ตาทิพย์" มาขอให้เขาช่วยตามหาคีร่า (คามิล แบล) ผู้ควบคุมจิตที่หลบหนีไปได้ และอาจกุมกุญแจสำคัญที่จะโค่นล้มองค์กรดิวิชั่น ผู้ควบคุมจิตคือผู้ที่มีพลังจิตที่น่ากลัวและทรงพลังที่สุด นั่นก็คือสามารถบงการผู้อื่นได้ โดยล้างสมองใส่ความคิดที่ตนต้องการให้คนอื่นทำตาม แต่แคสซี่ปรากฏตัวได้ไม่นาน ก็ดึงดูดความสนใจจากนักล่ามนุษย์ขององค์กรดิวิชั่น นิคกับแคสซี่จึงต้องหนีเอาชีวิตรอด

ด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าอันธพาลที่มีพลังจิตทั้งหลาย คู่หูต่างวัยนี้จึงหนีรอดไปได้หลายต่อหลายครั้งในเมืองที่ฟอนเฟะแห่งนี้ ทั้งคู่พยายามจะชิงตัดหน้าตามหาคีร่าให้เจอก่อนคนขององค์กร ทว่าพวกเขาก็ต้องสะดุดกับตอเมื่อเจอกับจนท.ดิวิชั่นเฮนรี่ คาร์เวอร์ (จีม่อน ฮานซู) ผู้ควบคุมจิตที่ไม่ยอมให้อะไรมาขวางการบรรลุเป้าหมายของพวกเขา


นักแสดง
Dakota Fanning
Djimon Hounsou
Chris Evans
Camilla Belle

ผู้กำกับ
Paul McGuigan

วิทยาศาสตร์กับความเป็นไปได้

โดยธรรมชาติของวิทยาศาสตร์และตามความเชื่อในทางศาสนาพุทธทำให้ต้องบอกว่าเป็นไปได้ แต่คงจะไม่เกินไปเหมือนในหนัง มีการพิสูจน์มาแล้วว่า จิตของคนเรานั้นมีพลังมาก แต่ว่าไม่ได้มีกันทุกคน เพราะการที่จะทำให้จิตมีพลังนั้นจะต้องใช้สมาธิอย่างมากเหมือนกับการรวมแสงให้เกิดเป็นเลเซอร์ที่มีพลังงานสูง ฉะนั้นหากเรารวมสมาธิให้มีความเป็นหนึ่งเดียวได้ก็จะสามารถทำให้เกิดพลังงานได้เช่นเดียวกัน แต่อาจจะไม่ใช่รวมพลังเพื่อมองเห็นอนาคต คงจะเห็นแต่อดีตที่ผ่านมามากกว่า ดูสนุกๆ ครับ


scimovie-push

THE DAY THE EARTH STOOD STILL วันพิฆาตสะกดโลก

THE DAY THE EARTH STOOD STILL วันพิฆาตสะกดโลก



ชื่อภาษาไทย วันพิฆาตสะกดโลก

จัดจำหน่ายโดย New Line Cinema

กำหนดฉายหนัง 10 ธันวาคม 2551

เรื่องย่อหนัง THE DAY THE EARTH STOOD STILL


ภาพยนตร์เรื่อง THE DAY THE EARTH STOOD STILL วันพิฆาตสะกดโลก เป็นการนำผลงานไซ ไฟสุดคลาสสิคฉบับปี 1951 กลับมาตีความให้เข้ายุคล่ำสมัย เรื่องราวของด๊อกเตอร์เฮเลน เบ็นสัน (Dr. Helen Benson รับบทโดยเจนนิเฟอร์ คอลเนลลี่ Jennifer Connelly) นักวิทยาศาสตร์สาวชื่อดังเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับมนุษย์ต่างดาวชื่อคลาทู (Klaatu รับบทโดยคีอานู รีฟ Keanu Reeves) ที่เดินทางข้ามจักรวาลมาเพื่อเตือนว่า โลกกำลังจะมีภัยมาเยือนในวันพิฆาตสะกดโลก

เมื่อเฮเลนไม่อาจต้านทานกองกำลังที่มุ่งจับตัวมนุษย์ต่างดาวเพื่อไปเค้นหาความจริงได้ อีกทั้งไม่อาจตอบคำถามของเขาที่พยายามเฟ้นหาตัวผู้นำโลกได้ เธอและเจค๊อบ (Jacob รับบทโดยเจเด้น สมิธ Jaden Smith) บุตรชายที่เข้ากับเธอได้ไม่ค่อยดีนักก็พบว่า คลาทู ที่อ้างว่าเป็น มิตรต่อโล ตนนี้ อาจจะนำมาซึ่งภารกิจพิฆาตโลกด้วย

เฮเลนต้องหาทางชักจูงใจมนุษย์ต่างดาวที่ถูกส่งมาเพื่อทำลายล้างโลกใบนี้ให้ได้ว่า มนุษยชาติมีคุณค่าควรแก่การละเว้นให้ดำรงอยู่ต่อไป แต่กว่าเธอจะทำสำเร็จ มันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้เพราะกระบวนการพิฆาตโลกเริ่มต้นขึ้นแล้วมนุษยชาติสนใจความเป็นไปได้ที่ว่า น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในจักรวาล นอกจากโลกใบนี้มานานแล้ว นิยายวิทยาศาสตร์แลภาพยนตร์ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิงแต่ยังเปิดประเด็นตอกย้ำ คำถาม, ความหวัง, และความกลัวต่อสิ่งมีชีวิตนอกโลกกับเราด้วย การคาดเดาเหล่านั้นตอบสนองจินตนาการที่เราสั่งสมมานานและสร้างแรงบันดาลใจให้มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อสำรวจหาโลกที่ห่างไกลไปในจักรวาล และค้นหาความเป็นไปได้สูงสุดที่ว่าเราอาจจะไม่ได้อยู่เพียงลำพังในจักรวาลนี้

วิทยาศาสตร์กับความเป็นไปได้
หนังเสนอออกมาในรูปของมนุษย์ต่างดาวเปลี่ยนใจรักโลกของเรา เพราะเข้าใจในความเป็นมนุษย์และต้องการปกป้องโลกเช่นเดียวกัน ฉะนั้นเราเองที่เป็นผู้ที่อยู่บนโลกใบนี้มานานทำไมจึงไม่คิดจะรักษาโลกนี้ไว้ให้นานๆ อย่าคิดไปพึ่งพาดาวเคราะห์ดวงอื่นๆเลย ไหนๆ เราก็อยู่บนโลกใบนี้มาเกือบตลอดชีวิตแล้ว อย่าได้ทำลายต่อไปอีกเลย หันมาดูแลรักษาและร่วมกันสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้น่าอยู่ดีกว่า

ถึงแม้ว่าในหนังจะบอกว่ามีมนุษย์ต่างดาวจริงและสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ แต่จิตใจของมนุษย์ต่างดาวกลับอ่อนโยนตรงข้ามกับเทคโนโลยีที่เขาสร้าง คงจะสะท้อนให้เราได้กลับมาคิดดีทำดีเพื่อโลกของเรานั่นเอง


sci-fi-film-day earth

THE DAY AFTER TOMORROW วิกฤติวันสิ้นโลก



THE DAY AFTER TOMORROW วิกฤติวันสิ้นโลก

แนว : แอ็คชั่น / Sci-Fi / ดราม่า / ระทึกขวัญ
ความยาว : 124 นาที
กำหนดฉาย : 28 พฤษภาคม 2547

จะเป็นอย่างไร... หากโลกเรากำลังจะเข้าสู่ยุคน้ำแข็งครั้งใหม่?

นี่เป็นคำถามที่ตามหลอน แจ็ค ฮอลล์ (เดนนิส เควด) ผู้เป็นนักกาลวิทยา (paleoclimatologist) ผลที่ได้จากการค้นคว้าของฮอลล์ระบุว่า สภาวะโลกร้อนอาจเป็นชนวนหายนะ แห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันของภูมิอากาศโลก แกนน้ำแข็งที่เขาทำการเจาะในทวีปแอนตาร์กติกา บ่งว่ามันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน และในตอนนี้เขาได้ส่งคำเตือนไปยังหน่วยราชการ ว่ามันอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง หากไม่มีการดำเนินการโดยทันที แต่คำเตือนของเขามาถึงช้าเกินไป...

ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น เมื่อฮอลล์ได้เจอกับก้อนน้ำแข็ง ที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับรัฐโร้ดไอส์แลนด์ ซึ่งแตกออกมาจากภูเขาน้ำแข็งในขั้วโลกใต้ และจากนั้น คือปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปทั่วโลก : ลูกเห็บขนาดใหญ่เท่าผลส้มโอ ตกกระหน่ำเมืองโตเกียว ลมพายุเฮอริเคนรุนแรง ชนิดทำลายสถิติพัดเข้าสู่ฮาวาย หิมะตกที่เมืองนิวเดลี และจากนั้นพายุทอร์นาโดหลายลูก ก็เข้ากวาดเมืองลอสแอนเจลิส

โทรศัพท์ที่เขาได้รับจาก ศาสตราจารย์แร็พสัน (เอียน โฮล์ม) เพื่อนร่วมงานในสก็อตแลนด์ ยืนยันให้กับความกลัวที่ร้ายแรงที่สุดของแจ็ค : สภาวะอากาศรุนแรงเหล่านี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วโลก น้ำแข็งที่ปกคลุมบนขั้วโลกได้ละลาย และทำให้น้ำไหลทะลักลงสู่มหาสมุทร และรบกวนกระแสคลื่น ซึ่งเป็นตัวสร้างสมดุลย์ของระบบภูมิอากาศของเรา สภาวะโลกร้อนได้ผลักดันให้โลก เฉียดเข้าไปใกล้กับยุคน้ำแข็งครั้งใหม่ และมันจะเกิดขึ้น ในระหว่างที่พายุมหึมาลูกหนึ่งถล่มไปทั่วโลก

ในขณะที่แจ็คเตือนทำเนียบขาว เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่กำลังคุกคามโลกนั้น แซม (เจค กิลเลนฮาล) ลูกชายวัย 17 ของเขาก็ติดอยู่ในนิวยอร์ค ซิตี้ ในระหว่างที่เขาและเพื่อนๆ ไปร่วมแข่งขันด้านวิชาการระดับมัธยม และตอนนี้เขาต้องเผชิญกับอุทกภัยร้ายแรง และอุณหภูมิที่กำลังดิ่งลงอย่างรวดเร็วในแมนฮัตตัน ต่อมา เมื่อได้ถูกอพยพเข้าไปอยู่ในหอสมุดสาธารณะแห่งแมนฮัตตัน แซมจึงสามารถติดต่อกับพ่อของเขาได้ทางโทรศัพท์ แจ็คมีเวลาที่จะเตือนลูกเพียงข้อเดียวเท่านั้น : จงอยู่แต่ในอาคารไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!

ในขณะที่การอพยพประชากรครั้งใหญ่เพื่อมุ่งหน้าลงใต้เริ่มขึ้นนั้น แจ็คก็เดินทางขึ้นเหนือสู่นิวยอร์ค ซิตี้ เพื่อช่วยแซม แต่แม้แต่แจ็คก็ไม่ได้เตรียมตัว ที่จะเผชิญกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น – กับตัวเอง กับลูกชายของเขา และกับโลกของเขา...

ในภาพยนตร์เรื่อง Independence Day โรแลนด์ เอ็มเมอริค เคยพาเราไปพบกับโลก ที่เกือบจะถูกทำลายโดยมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว คราวนี้ในเรื่อง The Day After Tomorrow เราจะได้พบกับศัตรู ที่สามารถทำลายล้างได้มากยิ่งขึ้นไปกว่า นั้นคือ "ธรรมชาติ"

ภาพยนตร์ยอดฮิตแห่งปี 1996 ของ ทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ เรื่อง Independence Day นั้นเป็นหนังไซไฟขนานแท้; มันไม่ได้อิงจากความเชื่อที่มีกันอย่างกว้างขวาง ว่าการบุกรุกจากมนุษย์ต่างดาวนั้น เป็นเรื่องที่ใกล้เข้ามาทุกที แต่ The Day After Tomorrow มาจากสถานการณ์ ที่หยั่งรากมาจากความกังวลอย่างแท้จริง เกี่ยวกับสภาวะของโลกเรา

เราเดินทางไปถึงช่วงเวลา ที่ยุคน้ำแข็งอาจเกิดขึ้น แต่ทฤษฎีที่ว่าภาวะโลกร้อน อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างฉับพลัน นับว่ากำลังอยู่ในความสนใจของคนส่วนใหญ่ ในขณะที่ไม่มีใครรู้ว่า ผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร กับการที่มนุษย์สะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มเข้าไปในชั้นบรรยากาศ ผู้เชี่ยวชาญบางคนได้อ้างถึง มันว่าเป็น 'การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่อาจควบคุมได้ ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์'

งานที่น่าหวาดหวั่นในการจัดทำ สร้างสรรค์ ก่อสร้าง และนำเสนอจากมุมมองของ โรแลนด์ เอ็มเมอริค ตกเป็นหน้าที่ของผู้ออกแบบฝ่ายศิลป์ แบรี่ ชูซิด, ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็ค แคเรน กูเลคาส, ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็ค เจ้าของรางวัลออสการ์ นีล คอร์โบลด์ และทีมงานที่ได้เคยร่วมงานกับผู้กำกับฯ เอ็มเมอริคมาก่อนแล้ว ร่วมกับซอฟท์แวร์สร้างฉากภาพเสมือนจริงที่เรียกว่า Terragen ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดย Digital Domain

The Day After Tomorrow เขียนบทและกำกับภาพยนตร์โดย โรแลนด์ เอ็มเมอริค (The Patriot, Godzilla, Independence Day, Stargate, Universal Soldier) โดยมี เจฟฟรีย์ นัคแมนอฟ เป็นผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์

ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย เดนนิส เควด (Any Given Sunday, The Parent Trap, Dragonheart, Wyatt Earp, The Right Stuff), เจค จิลเลนฮาล (Donnie Darko, Moonlight Mile, Bubble Boy, October Sky) ร่วมด้วย เอียน โฮล์ม (The Lord of the Rings, From Hell, The Fifth Element, Chariots of Fire), เอ็มมี่ รอสซัม (Mystic River, Phantom of the Opera), เซล่า วอร์ด (Dirty Dancing: Havana Nights, 54, The Fugitive)

กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

เนื้อเรื่องกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะโลกร้อนนั่นเอง และหนังทำให้เห็นอนาคตว่า หากโลกเราร้อนถึงจุดวิกฤติแล้ว สิ่งที่เราจะทนอยู่ไม่ได้นั่นคือ การเข้าสู่ภาวะน้ำแข็งคล้ายกับขั้วโลกใต้ หนังได้อ้างอิงเอาเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาเป็นจุดเสริมให้เ็ห็นความเป็นจริงให้เราเชื่อถือได้มากขึ้น ซึ่งมันเป็นอย่างนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะยังบอกชัดไม่ได้ว่า อนาคตของโลกเราจะเป็นอย่างไรกันแน่ จะร้อนขึ้น จะเย็นลง จะน้ำท่วม แต่ทุกสิ่งที่เหมือนกันก็คือ มนุษย์จะอยู่อย่างไม่มีความสุขเหมือนปัจจุบันอีกแล้ว เท่านี้พอให้เรารู้สึกรักโลกขึ้นมาบ้างหรือยัง หรือว่ายังจะทำลายต่อไปอีก

ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

ในหนังอาจจะกล่าวถึงเฉพาะสหรัฐเท่านั้นที่จะเป็นยุคน้ำแข็ง ส่วนทวีปอื่นเป็นอย่างไรไม่ได้กล่าวถึง ฉะนั้นก็เป็นการจิตนาการตามสมมติฐานว่า ถ้าหากโลกเข้าสู่ภาวะน้ำแข็งอีกครั้งจะเป็นอย่างไร และความเป็นไปได้ยากอีกอย่างก็คือการเกิดภาวะยุคน้ำแข็งแบบรวดเร็วมาก ซึ่งคงจะเป็นไปได้ยากหากจะเกิดแบบนั้นจริงๆ แต่ยังไงหนังเรื่องนี้ก็อยู่ในใจผมอีกเรื่อง ผมชักจะชอบผู้กำกับหนังเรื่องนี้แล้วสิ ผับผ่า



sci-film-dayaftertomorrow

EVOLUTION อีโวลูชั่น รวมพันธุ์เฉพาะกิจพิทักษ์โลก

EVOLUTION อีโวลูชั่น รวมพันธุ์เฉพาะกิจพิทักษ์โลก



แนว : sci-fi / ตลก / แอ็คชั่น
ความยาว : 101 นาที
กำหนดฉาย : 28 กันยายน 2544



เกิดเหตุสะเก็ดดาวตกพุ่งเข้าชนโลก กลางทะเลทรายอาริโซน่า ภายในสะเก็ดดาวตกนั้น ได้นำเอาสิ่งมีชีวิตต่างดาวเข้ามาด้วย เจ้าเอเลี่ยนต่างดาวนี้เชื่อว่า "ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด คือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่มีชีวิตอยู่รอดต่อไป"

ด็อกเตอร์ไอร่า เคน (เดวิด ดูคอฟนี่) อดีตนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม ผู้เคยทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ แต่อาชีพการงานในปัจจุบันกลับตกต่ำ จนต้องกลายมาเป็นอาจารย์ ในวิทยาลัยประจำท้องถิ่น เกลน แคนยอน มลรัฐอาริโซน่า เป็นบุคคลแรกที่ค้นพบว่า มีสายพันธุ์ต่างดาวแฝงตัวมากับสะเก็ดดาวตกที่พุ่งชนโลก และก็เป็นบุคคลแรกที่เข้าใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นตามมา หลังจากที่สิ่งมีชีวิตต่างดาว วิวัฒนาการตัวเองไปอย่างรวดเร็ว ไอร่าและ แฮร์รี่ บล็อค (ออร์แลนโด้ โจนส์) เพื่อนอาจารย์ในวิทยาลัย พร้อมด้วย เวย์น (ฌอนน์ วิลเลี่ยม สก๊อตต์) นักผจญเพลิงฝึกหัด ที่อยู่ใกล้กับจุดที่สะเก็ดดาวตก เมื่อตอนพุ่งเข้าชน พยายามช่วยกู้โลกจากวิกฤติอันตราย ด้วยวิธีการของพวกเขาเอง

แต่พวกเขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่นานหลังจากที่สะเก็ดดาวตกพุ่งชนโลก รัฐบาลก็ส่ง อัลลิสัน (จูเลี่ยนน์ มัวร์) เจ้าหน้าที่สาวสวย จากกองควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ CDC (Centers for Disease Control and Prevention) เข้ามาควบคุมสถานการณ์ อัลลิสันค่อนข้างจะเฉยชาต่อไอร่า เนื่องจากประวัติการทำงานในอดีตอันด่างพร้อยของเขา แต่หลังจากที่เธอรู้ว่า อนาคตของมนุษย์ใกล้ถึงกาลอวสาน พวกเขาทั้งหมด จึงหันมาร่วมแรงร่วมใจ ต่อสู้กับศัตรูต่างดาว...

ภาพยนตร์แนว sci-fi เบาสมอง เรื่อง Evolution กำกับโดย ไอวาน ไรท์แมน (Twins, Ghostbusters ทั้ง 2 ภาค, Dave, Kindergarten Cop, Junior) โดยที่ เดวิด ไดมอนด์ และ เดวิด ไวส์สแมน (เคยร่วมกันเขียนบท The Family Man) และ ดอน จาโคบี้ (Vampires, Double Team, Arachnophobia) ร่วมกันเขียนบทภาพยนตร์ขึ้นจากเค้าโครงเรื่องของ ดอน จาโคบี้ หนังเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ไอวาน ไรท์แมน, แดเนี่ยล โกล์ดเบิร์ก (Road Trip, Space Jam, Six Days/Seven Nights) และ โจ เม็ดจั๊ค (Road Trip, Ghostbusters, Twins) ภายใต้การบริหารงานสร้างของบริษัท The Montecito Picture Company ซึ่งมี ทอม พอลล็อค (Road Trip, Schindler's List, Jurassic Park), เจฟฟ์ แอปเปิ้ล (In the Line of Fire) และ เดวิด ร็อดเจอร์ส (Arachnophobia,Vampires, Double Team) รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร โดยมี พอล ดีสัน (Thirteen Days, End of Days, Small Soldiers), เชลดอน คาห์น (Ghostbusters ทั้ง 2 ภาค, Twins, Dave), เคนเน็ธ ชเว็นเคอร์ และ โรเนลล์ เวนเตอร์ รับหน้าที่เป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้าง

ไอวาน ไรท์แมน เป็นผู้ทำให้คนทั่วไปรู้จัก "การกำจัดผี - Ghostbusting" คำที่มาจากหนังตลกผจญภัยชื่อดัง Ghostbusters และ Ghostbusters II ซึ่งเป็นหนังที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในช่วงปีที่หนังเข้าฉาย และในปีนี้เขาจะมาทำให้คำว่า "วิวัฒนาการ - Evolution" ได้รับความสนใจด้วยดีในแบบเดียวกัน

ทีมสร้างส่วนอื่นของ Evolution ได้แก่ ผู้กำกับภาพ ไมเคิล แชปแมน (เรื่อง The Fugitive, Raging Bull, Taxi Driver), ผู้ออกแบบงานสร้าง เจ. ไม่เคิล ริวา (The Color Purple, Charlie's Angels, Congo), ผู้ลำดับภาพ เชลดอน คาห์น (One Flew Over the Cuckoo's Nest, Out of Africa, Proof of Life) และ เวนดี้ กรีน บริคม้อนท์ (Six Days/Seven Nights, Father's Day, Junior), ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ จอห์น โพเวลล์ (Shrek, Chicken Run, Antz, The Road to El Dorado)

ฟิล ทิปเป็ทท์ ที่ได้รับรางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้งจาก Return of the Jedi และ Jurassic Park (จากการออกแบบตัวไดโนเสาร์) และได้เข้าชิงสาขาเดียวกันจาก เรื่อง Starship Troopers (จากการออกแบบตัวแมลงต่างดาว), Dragonheart, Willow และ Dragonslayer ทำหน้าที่ผู้ดูแลการทำเทคนิคพิเศษ สร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตต่างดาวด้วยคอมพิวเตอร์ ให้น่าเชื่อถือตรงตามทฤษฎีวิวัฒนาการแพนสเพอร์เมีย (Panspermia - นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อกันว่า สิ่งมีชีวิตบนโลก เป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากดาวดวงอื่น โดยจะแฝงตัวอยู่ในสะเก็ดดาวตก ที่ตกลงบนดวงดาวที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต แล้วสิ่งมีชีวิตในสะเก็ดดาวตกนั้น ก็จะค่อยๆ วิวัฒนการขยายพันธุ์มากขึ้นๆ เป็นหนึ่งในทฤษฎี ที่ยังคงได้รับการถกเถียงกัน อยู่ในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน) ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ ตั้งแต่ แมงมุม, มังกรบิน, ต้นไม้ขยับได้, สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายสุนัข, สัตว์ปีกขนาดใหญ่, อมีบาขนาดยักษ์

หลังจากนั้น ส่วนของงานทำเทคนิคดิจิตอลอนิเมชั่น จะเป็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัทพีดีไอ/ดรีมเวิร์คส์ กับบริษัทโซนี่พิคเจอร์ส์ อิมเมจเวิร์ค บริษัทพีดีไอ/ดรีมเวิร์คส์ จะรับผิดชอบงานสร้างสรรค์เทคนิค ภาพสะเก็ดดาวตกพุ่งชนโลก และภาพสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่ค่อยๆ เพิ่มจำนวนเป็นหลายเซลล์ ซึ่งดูผ่านกล้องไมโครสโคป ขณะที่บริษัทโซนี่พิคเจอร์ส อิมเมจเวิร์คส์ จะรับหน้าที่สร้างภาพอนิเมชั่นสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตต่างดาว ที่วิวัฒนาการไปเป็นสัตว์ชั้นสูง

กลุ่มนักแสดงที่มารับบทผู้กล้า ที่ต้องต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวในครั้งนี้ ได้แก่ เดวิด ดูคอฟนี่ (ซีรีส์ The X-Files, ภาพยนตร์จอเงิน X-Files- The Movies และ Return to Me) รับบท ด็อกเตอร์ไอร่า เคน, ออร์แลนโด้ โจนส์ (Double Take, Bedazzled, The Replacements) รับบท แฮร์รี่ บล็อค เพื่อนอาจารย์ของไอร่า, ฌอนน์ วิลเลี่ยม สก๊อตต์ (Road Trip, American Pie) รับบท เวย์น นักผจญเพลิงฝึกหัด และ จูเลี่ยนน์ มัวร์ (นักแสดงสาวจาก Hannibal, Psycho, The Lost World: Jurassic Park, Nine Months และได้รับการเสนอชื่อ เข้าชิงออสการ์มาแล้วสองครั้งจาก The End of the Affair, Boogie Nights) รับบท อัลลิสัน

บริษัทดรีมเวิร์คส์ จัดจำหน่ายหนังเรื่อง Evolution ในอเมริกาเหนือ และบริษัทโคลัมเบีย พิคเจอร์ส จัดจำหน่ายหนังเรื่องนี้ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก



กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

หนังนำเสนอการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่มาพร้อมกับอุกกาบาตที่ตกลงมายังโลกและอยู่ภายใต้อุโมงค์ โดยจะเริ่มพัฒนาการจากเซลล์เดียว กลายเป็น สองเซลล์และหลายเซลล์ จนกระทั่งเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กขึ้นมา และมีขนาดตัวโตถึงขนาดไดโนเสาร์ แต่ไม่ยักจะเป็นคนแฮะ ในหนังกล่าวว่า ความร้อนจากไฟเป็นตัวเร่งในการวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้เด็กที่ดูจบแล้วก็อาจจตั้งขอสงสัยว่า มันจะเป็นจริงไหม เราก็ต้องบอกว่า....



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

ยากที่จะเป็นจริง เพราะความเป็นจริงการวิวัฒนาการเกิดมาตั้งแต่สมัยเกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ๆ อย่างน้อยก็ 100 ล้านปีมาแล้ว จะให้เป็นแบบในหนังเราคงไม่ทันตั้งตัว อาจจะตายไปหมดก่อนที่จะรู้อะไร ก็มันโตเร็วซะขนาดนั้น แต่หนังเรื่องนี้ช่วยสอนเรื่องวิวัฒนาการแบบย่นเวลาได้ดี แต่ควรให้คำแนะนำด้วยนะว่า นี่คือภาพยนตร์ไม่ใช่เรื่องจริง


scififilm-evolution



หนังเรื่องนี้นักเรียนดูทีไรก็หัวเราะในมุกตลกของหนัง

FREQUENCY เจาะเวลาผ่าความถี่ฆ่า

FREQUENCY เจาะเวลาผ่าความถี่ฆ่า



แนว : ดราม่า / แฟนตาซี / ลึกลับ / sci-fi
ความยาว : 118 นาที
กำหนดฉาย : 21 กรกฎาคม 2543

ถ้าคุณมีโอกาสได้ย้อนกลับไปในอดีต เพื่อแก้ไขความผิดพลาดหนึ่งอย่างในชีวิต มันจะเป็นยังไง?

สำหรับ จอห์น ซัลลิแวน (จิม คาวีเซล) ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 12 ตุลาคม ปี 1969 เมื่อบิดาของเขา ซึ่งเป็นนักผจญเพลิงผู้กล้าหาญ ต้องเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ที่อาคารบรักซ์ตัน คงเป็นเหตุการณ์เดียวที่เขาจะเลือกมาแก้ไข ตั้งแต่เด็กมาแล้ว จอห์นเฝ้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ที่จะหาทางหยุดโศกนาฏกรรมครั้งนั้น ที่ยังคงตามหลอกหลอนเขาจนถึงทุกวันนี้ให้ได้

หนึ่งวันก่อนที่จะถึงวันครอบรอบวันตายของบิดา ได้เกิดพายุประหลาดที่รู้จักกันดีในนาม ปรากฏการณ์ออโรร่า ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า จอห์นพบวิทยุสมัครเล่น ที่พ่อเขาให้ไว้ก่อนตายภายในบ้าน หลังจากลองเล่นดูเขาก็พบว่า เขากำลังคุยกับชายคนหนึ่ง ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็นนักผจญเพลิง และกำลังรอชมการแข่งขันเบสบอลเวิลด์ซีรี่ส์ปี 1969 อยู่ นี่หมายความว่าจอห์นกำลังคุยกับพ่อของในวันเดียวกัน และในบ้านหลังเดียวกัน ในช่วงเวลาที่อยู่ห่างกันสามทศวรรษหรือ?

ในตอนแรกไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาว่า แต่ไม่นานนัก จอห์นก็ใช้เวลาทั้งคืน ในการคุยกับ แฟร้งค์ ซัลลิแวน (เดนนิส เควดด์) ผู้เป็นพ่อ ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในวัยหนุ่ม แบ่งปันช่วงเวลาที่มีความสุขด้วยกันไป พร้อมๆ กับความโศกเศร้า และความตายที่เกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ดีจอห์นคิดว่า เขาน่าจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ โดยการเตือนพ่อของเขา ให้รับรู้ถึงโศกนาฏกรรมที่มีผลถึงชีวิต ในที่สุดจอห์นก็สามารถช่วยชีวิตบิดาได้

วันที่ 12 ตุลาคม 1999 จอห์นพบว่า ตัวเองมีรูปถ่ายบิดา ซึ่งกลายเป็นคนแก่ผมหงอกแขวนอยู่ข้างฝา อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงอดีต ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมตามมามากมาย ซึ่งหนึ่งในเหยื่อของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็คือ จูเลีย (อลิซาเบ็ธ มิทเชลล์) แม่ของจอห์นนั่นเอง ถึงตอนนี้ จอห์นและแฟร้งค์ต้องแข่งกับเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้การฆาตกรรมต้องลุกลามออกไป และทุกครั้งที่แฟร้งค์เปลี่ยนบางอย่างในมิติของเขา จอห์นพบว่ามันมีผลต่อมิติของเขาด้วยไม่น้อย...

ภาพยนตร์สุดระทึกเรื่อง Frequency เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ซึ่งต้องการเวลา สำหรับจัดทุกอย่างให้เข้ารูปเข้ารอย โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานมิติของเวลา ผู้กำกับ เกรกอรี ฮอบลิท นำเสนอให้เห็น ถึงเรื่องราวที่ว่าถึงการเดินทางข้ามเวลา ผ่านความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชาย ซึ่งหาทางข้ามมิติ เพื่อหยุดยั้งอาชญากรรมที่น่าสยอง เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้ ผสมผสานระหว่างนิยายวิทยาศาสตร์ เรื่องราวลี้ลับ ความสัมพันธ์ในครอบครัว ไปจนถึงความลับของมิติแห่งเวลาที่น่าฉงน

Frequency กำกับการแสดงโดย เกรกอรี ฮอบลิท ผู้เคยกำกับ Primal Fear ภาพยนตร์ที่ทำให้ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน แจ้งเกิดในวงการ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ และภาพยนตร์เรื่อง Fallen ที่นำแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน, จากบทภาพยนตร์ของ โทบี้ เอ็มเมอร์ริช, กำกับภาพโดย อลาร์ คิวิลโล่ (A Simple Plan), ออกแบบงานสร้างโดย พอล อี้ดส์ (The End of Innocence, Poltergeist 3), ลำดับภาพโดย เดวิด รอสเซ่นบลูม (The Insider, Deep Impact, The Peacemaker), ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย อลิซาเบ็ธ เบราลโด (Selena)

ภาพยนตร์เรื่อง Frequency นำแสดงโดย เดนนิส เควด (Any Given Sunday, The Parent Trap, Wyatt Earp, Dragonheart, Innerspace) รับบท แฟร้งค์ วัลลิแวน, จิม คาวีเซล (Ride With the Devil, The Thin Red Line) รับบท จอห์น ซัลลิแวน, อังเดร เบราเฮอร์ (City of Angles) รับบท แซ็ทช์, อลิซาเบ็ธ มิทเชลล์ (Gia และเร็วๆ นี้กับ Nurse Betty) รับบท จูเลีย ซัลลิแวน, โนอาห์ เอ็มเมอริช (The Truman Show, Life, Copland, Tumbleweeds) รับบท กอร์ดอน เฮิร์ช

ลำดับประวัติศาสตร์การเดินทางผ่านเวลา

1895 : นักเขียนชาวอังกฤษ เอช.จี. เวลลส์ เขียนนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง The Time Machine

1905 : ทฤษฎีสัมพันธภาพของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้รับการเผยแพร่ ทฤษฎีดังกล่าวว่าถึงความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ของเวลากับพื้นที่ นอกจากนี้ เขายังให้คำจำกัดความของเวลาว่า เป็น "มิติที่สี่" ที่อยู่ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า "พื้นที่-เวลา"

1916 : อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ค้นพบว่าพื้นที่-เวลามีสัณฐานโค้ง

1937 : นักคณิตศาสตร์ เคิร์ท โกเดล เสนอความคิดที่ว่าตัวจักรวาลเอง อาจเป็นเครื่องมือเดินทางข้ามเวลา

1949 : โกเดลแสดงให้เห็นว่า เส้นทางผ่านเวลามีความเป็นไปได้ในเชิงคณิตศาสตร์

1967 : นักฟิสิกส์ชาวสหรัฐ จอห์น วีลเลอร์ จำกัดความคำว่า "หลุมดำ" เพื่ออธิบายถึงความหนาแน่นของวัตถุในพื้นที่และเวลา

1974 : นักดาราศาสตร์ แฟร้งค์ ทิพเลอร์ ได้ลองพล็อทจุดวิถีรอบๆ รูปทรงกระบอกที่กว้างใหญ่ เพื่อย้ำแนวคิดที่ว่า ทฤษฎีวิถีผ่านเวลานั้นมีทางเป็นไปได้

1985 : ภาพยนตร์แนวเดินทางผ่ามิติเวลาเรื่อง Back to the Future ออกฉาย

1988 : คิพ โธรน แห่งมหาวิทยาลัย Caltech นำเสนอทฤษฎีรูหนอน ที่มีนัยยะถึงการเดินทางผ่านเวลา

1991 : ริชาร์ด ก็อท แห่งมหาวิทยาลัยพริ้นซ์ตันพิสูจน์ว่า คลื่นคอสมิกอาจใช้เป็นทางผ่านเวลา

กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์


การเดินทางย้อนเวลาโดยใช้สัญญาณเป็นสิ่งที่หนังนำเสนอออกมาอย่างน่าสนใจ และทำให้เกิดจินตนาการได้อีกหลากหลาย ตามทฤษฎีก็น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่ยังไม่มีใครทำสำเร็จสักราย

ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

การส่งสัญญาณไปนอกโลกแล้วให้มันย้อนกับมาในโลกอดีต ดูเหมือนจะเพ้อฝันอยู่สักหน่อย แต่ก็มีความสุขเมื่อนึกถึงว่าหากทำได้จริงคงดีพิลึก ในเมื่อการเดินทางของคลื่นมันเป็นเส้นตรง แต่ในขณะที่ต้องการให้กลับไปในอดีตได้คลื่นนั้นก็จะต้องย้อนกลับมาในลักษณะสวนกลับจากที่ส่ง เพียงแต่อยู่คนละช่วงเวลา เป็นไปไม่ได้จริงๆ หรือใครมีความคิดเห็นก็บอกมั่งนะครับ



scififilm-frequency

DÉJÀ VU ภารกิจเดือด ล่าทะลุเวลา



DÉJÀ VU ภารกิจเดือด ล่าทะลุเวลา

แนว : แอ็คชั่น / ระทึกขวัญ / อาชญากรรม / ผจญภัย / Sci-Fi
ความยาว : 128 นาที
กำหนดฉาย : 5 ธันวาคม 2549

ทุกคนต่างเคยประสบเหตุการณ์ลึกลับ ที่ชื่อว่า เดจา วู (Déjà Vu) มาก่อน ความทรงจำชั่ววูบในตอนที่คุณพบคนแปลกหน้าซักคน แต่คุณกลับรู้สึกเหมือนคุณรู้จักเขามาทั้งชีวิต หรือรู้สึกเหมือนจดจำสถานที่นั้นได้ แม้ว่าคุณไม่เคยไปที่นั่นเลยซักครั้ง แต่ถ้าจริงๆ แล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดน่าพิศวงนี้ เป็นคำเตือนที่ถูกส่งมาจากอดีต หรือเป็นเงื่อนงำไปสู่อนาคต ที่ยังไม่เกิดขึ้นล่ะ..?

ความรู้สึก เดจา วู นี้เอง ที่นำทางเจ้าหน้าที่ เอทีเอฟ ดั๊ก คาร์ลิน (เดนเซล วอชิงตัน) ในการสืบสวนคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ เมื่อเขาถูกเรียกตัวไปเก็บหลักฐาน หลังจากการระเบิดครั้งใหญ่ บนเรือเฟอร์รีลำหนึ่งในนิวออร์ลีนส์ คาร์ลินก็กำลังจะได้ค้นพบว่า สิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นความรู้สึกข้างเดียวของตัวเองนั้น จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่านั้น และมันก็จะนำเขาไปสู่การแข่งขันกับเวลา เพื่อช่วยเหลือผู้คนบริสุทธิ์หลายร้อยชีวิต

ยิ่งคาร์ลินถลำลึกลงไปในการสืบสวนมากเท่าใด เขาพบว่าไม่เพียงแต่มันจะล้วงลึก ผ่านช่องว่างและกาลเวลาเท่านั้น แต่มันยังกลายเป็นเรื่องราวความรักแปลกใหม่ ที่เกิดขึ้นในรูปแบบย้อนกลับ เมื่อคาร์ลินรู้สึกว่า เขาเกิดความรู้สึกผูกพันกับหญิงสาวเจ้าของอดีต ที่เป็นกุญแจนำไปสู่การหยุดยั้งหายนะ ที่อาจทำลายอนาคตของพวกเขาลงได้ในชั่วพริบตาเดียว โดยปราศจากคำพูดแต่ด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยม คาร์ลินก็ได้เลือกเสี่ยง ...เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!

แอ็กชั่นทริลเลอร์ลุ้นระทึก Déjà Vu เป็นผลงานของ โทนี่ สก็อต ภายใต้การสร้างของ เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ให้กับ ทัชสโตน พิคเจอร์ส นำแสดงโดยเจ้าของสองรางวัลออสการ์ เดนเซล วอชิงตัน (Man On Fire, Training Day, Remember the Titans, The Bone Collector, Courage Under Fire, Malcolm X, Crimson Tide, Glory), จิม คาวีเซล (The Passion of the Christ, Frequency, The Count of Monte Cristo, Ride With the Devil, My Own Private Idaho), วาล คิลเมอร์ (Heat, Top Secret!, The Doors, Tombstone, At First Sight, Alexander), พอลล่า แพทตัน (Hitch, Idlewild ที่กำลังจะลงโรง), บรูซ กรีนวู้ด (Thirteen Days, Capote, Eight Below, The World's Fastest Indian, Double Jeopardy) และ อดัม โกลด์เบิร์ก (How to Lose a Guy in 10 Days, Saving Private Ryan, A Beautiful Mind)

เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ (Pearl Harbor, Armageddon, Remember the Titans, ไตรภาค Pirates of the Caribbean) อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ภายใต้บริษัท เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ ฟิล์มส์ โดยมี โทนี่ สก็อต (Man On Fire, Enemy of the State, Domino, Days of Thunder, The Last Boy Scout, True Romance, The Fan) รับหน้าที่กำกับ นี่เป็นภาพยนตร์เรื่องที่หกแล้ว ที่เจอร์รี่ บรั๊คไฮเมอร์ได้ร่วมงานกับโทนี่ สก็อต โดยผลงานก่อนหน้านี้ที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันได้แก่ Enemy of the State, Top Gun, Beverly Hills Cop II, Days of Thunder และ Crimson Tide ที่นำแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน บิล มาร์ซิลี และ เทอร์รี รอสซิโอ (Shrek, Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl, The Mask of Zorro) เป็นผู้เขียนบทภาพยนตร์ และ แพท แซนด์สตัน และ ดอน เฟอร์ราโรน เป็นผู้ช่วยอำนวยการสร้าง

ผู้อำนวยการสร้างบริหารได้แก่ ไมค์ สเตนสัน และ แชด โอมาน (National Treasure, Bad Boys II, Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl, Pearl Harbor, Black Hawk Down, Remember The Titans) และ แบร์รี เอช. วาลด์แมน (Domino, National Treasure, Pearl Harbor)

ทีมงานสร้างสรรค์เบื้องหลัง Déjà Vu ของบรั๊คไฮเมอร์และสก็อต ได้แก่ช่างภาพ พอล คาเมรอน (Collateral, Man On Fire, Swordfish, Gone in 60 Seconds), ผู้ออกแบบงานสร้าง คริส ซีเกอร์ส (Man On Fire, Domino, Saving Private Ryan), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอลเลน มิโรจนิค (The Chronicles of Riddick, The Sentinel) และมือลำดับภาพ ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ คริส เลเบนสัน (Charlie and the Chocolate Factory, Enemy of the State, Crimson Tide, Top Gun) เรื่องย่อ

ในระหว่างการสืบสวนสาเหตุของการระเบิดเรือเฟอร์รี่ในสุดสัปดาห์ของวันชาติสหรัฐอเมริกา ดั๊ก คาร์ลิน (เดนเซล วอร์ชิงตัน) เจ้าหน้าที่หน่วยพิสูจน์หลักฐานเอฟบีไอ ได้พบว่าเหตุการณ์นี้อาจเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหญิงสาวคนหนึ่ง (พอลล่า แพทตัน) จากการสืบสวนนี้ ดั๊ก ได้ถูกบรรจุให้สังกัดหน่วยพิเศษที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ของเอฟบีไอ ที่ทำให้เขาเข้าถึงอุปกรณ์ลับสุดยอดหนึ่งเดียวของรัฐบาลที่ใช้สำหรับการแก้ปัญหาอาชญากรรมที่เรียกว่า หน้าต่างเวลา

หน้าต่างเวลาที่ว่านี้ ทำให้เขาสามารถเฝ้าสังเกตุการณ์ใน 4 วัน 6 ชั่วโมง 2-3 นาที ที่ผ่านมาในอดีตได้ ไม่ขาดไม่เกิน ดั๊ก ได้เดินทางข้ามเวลา โดยใช้หน้าต่างเวลานี้เพื่อกลับไปปกป้อง คแลร์ จากการถูกฆาตกรรม ในขณะเดียวกันก็ต้องยับยั้งการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ของผู้ก่อการร้ายรายนี้อีกด้วย...

กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

เดจาวู เป็นสิ่งที่เกิดได้กับบางคน มันเป็นความรู้สึกที่บอกว่า ตนเองเคยอยู่ในสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น มาก่อน ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่าเป็นอาการที่ความคิดระลึกถึงมันย้อนกลับ เช่น เรามองเห็นแมววิ่งผ่านหน้าไป สมองที่คนที่รู้สึกแบบนี้จะบอกว่าภาพของแมวกำลังวิ่งไปนั้นมันจะเกิดขึ้นอีก ทั้งที่มีนเกิดไปแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังจะเกิดขึ้น
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากปรากฏการณ์เดจาวู แล้ว ยังมีเรื่องการย้อนเวลาโดยอาศัยภาพและมีการส่งบุคคลไปในอดีตด้วยด้วยเครื่องย้อนเวลา ซึ่งเป็นความฝันของหลายคนที่อยากทำเช่นนั้นได้

ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

เป็นความจริงไม่ได้ในเรื่องการย้อนเวลากลับไปในอดีต เนื่องจากเรื่องของเวลามันเป็นสิ่งที่สูญหายไปแล้ว เรียกเก็บคืนมาไม่ได้ เช่นเดียวกับกระดาษที่ไหม้ไฟกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว เราจะเอาเถ้ามาทำคืนรูปให้เป็นกระดาษอีกไม่ได้ อดีตคือเวลาที่ถูกเผาทำลายไปแล้ว



scififilm-dajavu

Armageddon วันโลกาวินาศ



Armageddon วันโลกาวินาศ

ลูกอุกกาบาตขนาดใหญ่เท่ามลรัฐเท็กซัส (บางคนบอกว่าเป็นดาวหาง) กำลังพุ่งตัวเข้าหาโลกด้วยความเร็ว 22,000 ไมล์ต่อชั่วโมง มีเวลาเหลือเพียง 18 วันเท่านั้น ที่พอจะกู้โลกให้พ้นจากหายนะองค์การนาซา ชาวสหรัฐฯ และคนทั้งพิภพ ฝากความหวังเดียวไว้กับ แดน ทรูแมน (ธอร์นตัน) ผู้อำนวยการองค์การนาซาและกลุ่มนักขุดเจาะน้ำมันผู้ห้าวหาญภายใต้การนำทีมของ แฮร์รี่ สแตมป์เพอร์ (บรู้ซ วิลลิส) ผู้มีประสบการณ์สูงในอาชีพขุดน้ำมัน พวกเขามีเวลา 12 วัน ในการฝีกฝนหลักสูตรการเป็นนักบินอวกาศ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ ไมเคิล เบย์ ผู้สร้างความมันสะใจจาก The Rockอำนวยการสร้าง โดยผู้สร้าง ID 4 หนังเปิดตัวแรงด้วยรายได้ 34 ล้านเหรียญ ในช่วงสุดสัปดาห์แรกทำสถิติเป็นหนังของ บรู้ซ วิลลิส ที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุด และทำเงินกว่า 150 ล้านเหรียญ ในระยะ เวลาหนึ่งเดือน ระทึกเร้าใจกับเทคนิคพิเศษตระการตา ที่สร้างสรรค์โดยทีมงานชั้นยอดของวงการ

กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ อุกกาบาตที่จะพุ่งชนโลก ซึ่งมีความเป็นไปได้ หลังจากที่พบอุกกาบาตแล้ว นาซ่าต้องการคนที่จะไปวางระเบิดให้อุกกาบาตขนาดใหญ่นั้นแตกออกเพื่อจะได้ไม่พุ่งชนโลก เพื่อให้โลกพ้นจากการถูกอุกกาบาตเข้าชน ในภาพยนตร์นักวิทยาศาสตร์สามารถบอกได้ว่าอุกกาบาตนั้นประกอบขึ้นจากโลหะที่มีความแข็งแรงมาก ต้องใช้การขุดเจาะอุกกาบาตจึงจะทำให้อุกกาบาตแตกได้



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

อุกกาบาตมีสิทธิ์พุ่งชนโลกได้จริง แต่การที่จะเอาระเบิดไปวางที่อุกกาบาตนั้นค่อนข้างไม่มั่นใจ เนื่องจากความเร็วของอุกกาบาตเอง ความเร็วของยาน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางนั้นล้วนแต่เป็นอุปสรรคทั้งสิ้น ผมเองไม่ได้เชี่ยวชาญหรือเดินทางไปยังอวกาศเลยไม่สามารถบอกได้ว่าความเป็นจริงมันเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ขอวอนท่านที่รู้ให้ข้อมูลด้วยนะครับ


sci-film-armageddon


เป็นหนังในดวงใจผมมาตลอดเลยครับ

Apollo 13-อพอลโล 13 ผ่าวิกฤตอวกาศ



Apollo 13-อพอลโล 13 ผ่าวิกฤตอวกาศ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาไม่นานนัก หลังจากมนุษย์ได้สัมผัสพื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ตามความสนใจของสาธารณชน "อพอลโล 13" เป็นเพียงยานสำรวจอวกาศอีกหนึ่งยาน...จนกระทั่งเสียงของขอความช่วยเหลือว่า "ฮุสตัน เราประสบปัญหา" ดังผ่านมาจากห้วงอวกาศ
นี่คือเภาพยนตร์ผจญภัยระทึกใจ ที่เสนอบันทึกประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ผลงานกำกับของ รอน โฮเวิร์ด.(Backdraft, Cocoon, Splash).พร้อมทีมนักแสดงคุณภาพ อาทิ ทอม แฮงค์ เจ้าของรางวัลออสการ์? ดารานำชายยอดเยี่ยมสองปีซ้อน Philadelphia.(1993).และ.Forrest Gump.(1994).เควิน เบคอน, บิลล์ แพ็กซ์ตัน, แกรี่ ซีนีส, เอ็ด แฮร์ริส และ.แคทลีน ควินแลน
นักบินอวกาศสามนายได้แก่ จิม ลิฟเวลล์.(แฮงค์)., เฟรด เอส.(แพ็กซ์ตัน).และ.แจ็ค สวิเกิร์ท.(เบคอน).อยู่ห่างจากโลก 205,000 ไมล์ ในยานอพอลโล 13 ที่เกิดเหตุขัดข้อง พวกเขาต้องต่อสู้กับวิกฤติที่เผชิญอย่างสุดใจ เพื่อเอาชีวิตรอด ขณะเดียวกันที่ศูนย์บังคับการภาคพื้นดิน
นักบินอวกาศนาม เค็น แมททิงลี่.(ซีนีส)., ยีน ครานซ์.(แฮร์ริส).ผู้บัญชาการศูนย์ และ.บรรดาลูกทีมผู้อุทิศตน ก็ร่วมทำงานแข่งกับเวลา และ.อุปสรรคทั้งหลาย เพื่อนำเขาทั้งสามกลับบ้าน

กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

หนังเรื่องนี้เหมาะกับครูที่สอนวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเดินทางไปในอวกาศ เพราะเราจะได้เห็นการเตรียมตัวก่อนการเดินทางไปสู่อวกาศ และสภาพไร้น้ำหนักเมื่อเราอยู่นอกโลก รวมทั้งการทำงานของนักบินบนยานและที่อยู่ภาคพื้นดิน มีรายละเอียดเยอะจนไม่นำมากล่าวในที่นี้ ให้ลองดูเองก็แล้วกัน


ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

เป็นหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริง เพราะฉะนั้นก็ย่อมมีความสมจริง แต่สิ่งที่ไม่อยากให้ลืมก็คือ การรับความรู้ใหม่นำมาใส่ตน และระบบการทำงานเป็นทีม ข้อนี้สำคัญมากในโลกปัจจุบัน ใครชอบหนังที่เกี่ยวกับอวกาศคงจะไม่พลาดนะครับ


sci-film-apollo13

28 Days Later 28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน

28 Days Later 28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน



แนว : Sci-Fi / สยองขวัญ
ความยาว : 108 นาที
กำหนดฉาย : 18 กรกฎาคม 2546

คุณถูกกำหนดวันไว้แล้ว...

หลังจากกลุ่มผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิสัตว์ ได้บุกเข้าไปยังสถาบันวิจัยสัตว์เจริญพันธุ์ พวกเขาได้พบกับชิมแปนซี ที่ถูกขังและล่ามโซ่ ไว้เบื้องหน้าจอภาพจำนวนมหาศาล ที่แสดงผลของความรุนแรงอันน่าสยดสยอง พวกเขาเพิกเฉยต่อคำเตือนของนักวิจัยผู้ตื่นตระหนก ที่ว่าลิงชิมแปนซีเหล่านั้น 'ติดเชื้อ' และได้ปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ จนเป็นเหตุให้ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีอย่างบ้าเลือด ของบรรดาสัตว์ที่กำลังเดือดดาล

28 วันต่อมา... จิม (ซิลเลียน เมอร์ฟีย์) หนุ่มส่งเอกสาร ฟื้นคืนสติจากอาการโคม่า และพบตนเองในห้องไอซียู ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในลอนดอน ในความงุนงงและสับสน เขาออกเดินสำรวจหาผู้คน ตามวอร์ดคนไข้และระเบียงทางเดิน จนในที่สุด ออกไปถึงถนนด้านนอก เพื่อเสาะหาความช่วยเหลือ จวบกระทั่งเงาเริ่มทอดยาว เขาจึงมาถึงยังโบสถ์แห่งหนึ่ง และได้พบกับซากศพจำนวนมาก ที่ถูกกองสุมไว้บนพื้นวิหาร เสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับพลัน พร้อมกับการปรากฎตัวราวสายฟ้าแลบ ของพระรูปหนึ่ง ซึ่งมีเลือดกลบตา และกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ทำให้จิมต้องวิ่งกลับออกไปยังถนน และพบกับ 'ผู้ติดเชื้อ' คนอื่นๆ ซึ่งถูกดึงดูดมาด้วยเสียงนั้น จิมออกวิ่งหนีอย่างตื่นตระหนกและสับสน ในขณะที่ฝูงชนทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ วิ่งไล่ตามเขาไปตามท้องถนนอันมืดมิด

เสียงระเบิดกึกก้อง เป็นเหมือนการประกาศการมาถึงของเพื่อน 'ผู้รอดชีวิต' เซเลน่า (นาโอมี แฮร์ริส) และ มาร์ค (โนอา ฮันท์ลีย์) หลังได้รับการช่วยชีวิตอย่างกล้าหาญ จิมถูกพาไปยังที่ปลอดภัย และได้รับคำอธิบายจากพวกเขา ถึงสมุฏฐานของการติดเชื้อ ซึ่งถ่ายทอดได้โดยเลือด และจะเข้าครอบงำในช่วงเวลาไม่กี่วินาที ประเทศอังกฤษทั้งประเทศต้องติดเชื้อ และไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า เชื้อนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกแล้วหรือไม่

เซเลน่าและมาร์คยอมรับอย่างไม่เต็มใจ ที่จะช่วยพาจิม ซึ่งตกอยู่ในสภาวะช็อค ในการเดินทางกลับไป เพื่อหาบิดามารดาที่บ้านที่เดพท์ฟอร์ด อันจะเกิดผลที่น่าสะพรึงกลัวตามมา หลังจากนั้น เมื่อพวกเขาลัดเลาะไปตามถนนที่ไร้แสงไฟ เซเลน่าและจิมก็พบเห็นแสงลอดมาจากตึกแห่งหนึ่ง จึงเข้าไปตรวจค้น และพบกับผู้รอดชีวิตอีกสองคน ซึ่งเป็นพ่อลูก แฟรงค์ (เบรนแดน กลีสัน) และ ฮานนาห์ (เมแกน เบิร์นส) ซึ่งกำลังแร้นแค้นน้ำกินน้ำใช้อย่างสาหัส จนต้องกระเสือกกระสนหาที่อยู่ใหม่

เมื่อทุกคนย้ายเข้าไปพักพิงที่ตึกนั้น พวกเขาได้ค้นพบสัญญาณวิทยุอัตโนมัติ ที่คอยคนตอบรับ จากกองทหารในแมนเชสเตอร์ ซึ่งบัญชาการโดย นายพล เฮนรี่ เวสท์ (คริสโตเฟอร์ เอคเคลสตัน) ผู้อ้างว่ามี 'คำตอบ' ของการติดเชื้อ และเชื้อเชิญให้ผู้รอดชีวิตทุกคน เข้ารวมกลุ่มกับพวกเขาที่ฐานทัพปิด เมื่อไม่ทางเลือกอื่นใดอีก ทั้งกลุ่มจึงมุ่งหน้าเดินทางขึ้นเหนือ ด้วยรถแท็กซี่สีดำของแฟรงค์ โดยหารู้ไม่ว่า กำลังจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด!

Fox Searchlight Pictures ร่วมกับ Dna Films และ The Film Council ภูมิใจเสนอ 28 Days Later ภาพยนตร์วิทยาศาสตร์แนวสยองขวัญ เรื่องของเชื้อไวรัสมรณะ ที่ทำลายล้างอังกฤษได้ ในเวลาเพียง 28 วัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับการแสดงโดย แดนนี่ บอยล์ (The Beach, A Life Less Ordinary, Trainspotting, Shallow Grave) จากบทภาพยนตร์โดย อเล็กซ์ การ์แลนด์ ผู้ประพันธ์เรื่อง The Beach และอำนวยการสร้างโดย แอนดรู แมคโดแนลด์

28 Days Later นำแสดงโดย ซิลเลียน เมอร์ฟีย์ (Disco Pigs, On the Edge) รับบท จิม, นาโอมิ แฮร์ริส (มินิซีรีส์ White Teeth) รับบท เซเลน่า, คริสโตเฟอร์ เอคเคลสตัน (The Others, Shallow Grave, Gone in 60 Seconds, eXistenZ, Elizabeth) รับบท นายพล เฮนรี่ เวสท์, เมแกน เบิร์นส (Liam) รับบท ฮานนาห์ และ เบรนแดน กลีสัน (The General, A.I. Artificial Intelligence, Dark Blue, Gangs of New York) รับบท แฟรงค์


กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

การระบาดของเชื้อไวรัสมรณะ เป็นสิ่งที่น่ากลังและอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำลายล้างมนุษย์ให้สูญพันธุ์ ตามปกติเชื้อไวรัสก็ย่อมระบาดได้ง่ายจากสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง และระบาดอย่างรวดเร็วเนื่องการสัมผัสกันของคน เป็นภาพยนตร์เชื้อโรคที่เกิดจากสัตว์ไปสู่คนเหมือนไข้หวัดนก ส่วนที่เหลือของหนังก็จะกล่าวต่อไปว่าหนังจะจบลงอย่างไร นั่นเอง

ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

อย่าว่าแต่ในหนังเลย ไวรัสไข้หวัดธรรมดา คนยังปราบไม่ได้ ไข้เลือดออกที่เกิดจากยุงกัดก็เป็นไวรัสที่ทำให้เด็กตายมามากต่อมาก ผู้ใหญ่เองก็ยังมีไวรัส เอดส์ที่คอยลงโทษพวกสำส่อนผิดศีลข้อสามกันอยู่ แต่ผมว่าคนที่ชอบสนุกคงจะไม่คิดกลัวเอดส์หรอก จนกว่าเขาจะติดเชื้อซึ่งนั่นหมายถึงการแก้ปัญหาที่ไม่มีวันแก้ได้ ก่อนตายก็คงทรมานน่าดู อนาคตที่หวังไว้ก็หมดกัน จบ


science-movie-28days

White Noise ไวท์นอยส์ : จับเสียงผี



White Noise ไวท์นอยส์ : จับเสียงผี

ข้อมูลภาพยนตร์

แนว : ลึกลับ / ระทึกขวัญ / สยองขวัญ / ดราม่า
ความยาว : 101 นาที
กำหนดฉาย : 22 กันยายน 2548


Story

คุณจะทำอย่างไร ถ้าคนที่คุณรัก ร้องเรียกเพรียกหา... จากหลุมศพ!

หลังจากที่ แอนนา (รับบทโดย แชนดร้า เวสต์) ภรรยาของ โจนาธาน ริเวอร์ส (รับบทโดย ไมเคิ้ล คีตั้น) ถูกฆาตกรรม ความหดหู่สิ้นหวังในชีวิต กลับยิ่งผลักดันให้โจนาธานหมกมุ่น กับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ผ่านคลื่นเสียงอีเลคโทรนิค (Electronic Voice Phenomenon: EVP) คนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว พยายามสื่อสารผ่านเครื่องบันทึกเสียง หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ โจนาธานอาศัยคลื่นเสียงอีเลคโทรนิค พยายามสื่อสารกับ แอนนา ภรรยาผู้ล่วงลับ เพื่อจะให้รู้จนได้ว่าเธออยู่ที่ไหน แต่กลับกลายเป็นว่า แอนนามีภารกิจสำคัญให้เขาทำ เธออยากให้เขาช่วยปกป้องเหยื่อ ที่กำลังจะตกอยู่ในเงื้อมมือของฆาตกรโรคจิตสุดโหดเหี้ยม ในอนาคตอันใกล้ และยังเป็นฆาตกรคนเดียวกัน กับที่ก่อเหตุฆาตกรรมแอนนาเองด้วย หรือไม่เขาก็สรุปเอาว่าเป็นเช่นนั้นเอง...

ยิ่งเรื่องราวค่อยๆ คลี่คลาย โจนาธานก็ยิ่งถลำเข้าลึกไปในวังวนของความลึกลับ และภยันตรายในโลกของคลื่นเสียงอีเลคโทรนิค เขาไม่เพียงแต่กลัวเจ้าฆาตกรที่เขากำลังไล่ล่า หากยังหวาดสะพรึงบรรดาวิญญาณทั้งหลาย ที่เริ่มหันมาไล่ล่าเขามากขึ้นทุกที เงาอาฆาตของวิญญาณสยองพวกนี้ ล้วนโหดเหี้ยมร้ายกาจ ไม่แพ้เจ้าฆาตกรที่ยังลอยนวลอยู่เลยสักนิด แรงอาฆาตเสริมด้วยความพยาบาทหวังแก้แค้น ยิ่งส่งให้วิญญาณอมทุกข์พวกนี้ พยายามติดต่อกับญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ ต่างตนก็มีภารกิจฝากฝังแตกต่างกันไป แล้วก็ยังมีวิญญาณที่ต้องการจะฆ่าโจนาธานด้วย แต่พวกมันก็ทำได้เพียงแค่สร้างสถานการณ์ประหลาดๆ ก่อกวนป่วนจิต จนถึงจุดแตกหักที่ใครสักคนจะสติแตก ลุกขึ้นมาก่อกรรรมทำเข็ญล้างแค้น ให้ได้สมใจวิญญาณพยาบาทพวกนี้นั่นเอง

ความสิ้นหวังที่ไม่อาจจะติดต่อกับแอนนา ภรรยาผู้ล่วงลับได้ ยิ่งทำให้โจนาธานหมกมุ่นคลื่นเสียงอิเลคโทรนิคหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าขั้นถูกครอบงำ ยิ่งเขาถลำลึก เข้าไปสู่โลกของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งซูบผอมตรอมใจลงไปทุกที ส่วน ซาร่าห์ เท็ท (รับบทโดย เด็บบอร่าห์ คาร่า อังเกอร์) เจ้าของร้านหนังสือสาวที่โจนาธานเคยพบในช่วงแรกๆ ที่เริ่มสนใจเรื่องคลื่นเสียงอิเลคโทรนิคนั้น เท็ทก็หวังจะอาศัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้ สื่อสารกับคนรักที่จากไป เพื่อบรรเทาความเศร้าโศก ที่จู่ๆ ต้องพลัดพรากไปอย่างกะทันหัน เมื่อโจนาธานจวนเจียนจะบ้าเกินเยียวยานั่นเอง เท็ทจึงเป็นเพียงแรงยึดเหนี่ยวเดียว ที่รั้งเขาไว้ไม่ให้หลุดไปจากโลกแห่งความเป็นจริง

แม้ผู้คนรอบข้างจะห่วง และพร่ำเตือนให้ระวังพลัง และอำนาจของคลื่นเสียงอิเลคโทรนิค แต่โจนาธานกลับยิ่งถลำ ดำดิ่งเข้าสู่วังวนลึกสุดหยั่งจนเฉียดขั้นบ้าคลั่ง เขาพยายามอย่างหนักที่จะตีความสาส์นจากแอนนา เพื่อช่วยเหลือเหยื่อรายถัดไป ให้พ้นเงื้อมมือเจ้าฆาตกรโหดทันท่วงที แต่เขากลับพลาดเนื้อความสำคัญ ที่ภรรยาต้องการจะบอกเขาไปเสียได้...

คนเป็นจะติดต่อสื่อสารกับคนตายได้ไหม กลุ่มคนศึกษาวิจัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ผ่านคลื่นเสียงอีเลคโทรนิค ต่างก็เชื่อว่าสามารถทำได้จริง กว่าสองทศวรรษแล้ว ที่มีหลักฐานเป็นเอกสารยืนยัน แถมยังมีการซุ่มค้นคว้าวิจัยกันอย่างเงียบๆ ถึงวิธีการที่จะสืบค้น และบันทึกเสียงของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ผ่านเครื่องบันทึกเสียง หรือแม้แต่อุปกรณ์อีเลคโทรนิคนานาชนิด ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ด้วยซ้ำ ตามหลักการของปรากฏการณ์นี้ สาส์นจะถูกส่งผ่านมาทางเครื่องรับโทรทัศน์ วิทยุ และคลื่นความถี่ ที่ตรวจจับได้ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งเรียกขานกันว่า White Noise จะถูกบันทึก แล้วนำมาตีความโดยผู้คนที่ยังมีลมหายใจอยู่นั่นเอง

ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ผ่านคลื่นเสียงอีเลคโทรนิค เป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งเกินกว่าแค่ไอเดียเก๋ๆ ที่นักสร้างหนังจากฮอลลีวู้ด จะหยิบประเด็นมาสร้าง White Noise ภาพยนตร์แนวลุ้นระทึกอย่างในครั้งนี้ ปรากฏการณ์นี้ผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยอย่างจริงจัง และยังกระจายความนิยมกว้างออกไปทั่วโลกแล้วด้วยซ้ำ ถ้าคุณลองเข้าไปค้นหาประเด็นที่เกี่ยวข้อง กับปรากฏการณ์นี้ในอินเตอร์เน็ท ก็จะพบบทความและเว็บไซท์หลายพันแห่ง บ้างก็นำเสนอภาพถ่าย หรือไม่ก็เสียงที่บันทึกได้ และภาพบันทึกเหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์นี้ด้วย

ปัจจุบัน มีสมาชิกผู้ร่วมค้นคว้าวิจัยปรากฏการณ์นี้ กระจายอยู่ทั่วไปกว่า 40 รัฐ และอีก 11 ประเทศ และคนเหล่านี้มีหลักฐานยืนยันได้ว่า ติดต่อกับผู้ที่ล่วงลับไปแล้วกันอยู่ทุกวัน มิหนำซ้ำยังอ้างว่า นอกจากเสียงที่บันทึกได้ ผ่านเครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุได้แล้ว ก็ยังถ่ายภาพเจ้าของเสียงเหล่านั้น ด้วยกระบวนการ Video/Photographic Instrumental Transcommunication ได้ด้วย พวกเขาเชื่อมั่นว่า ผู้ล่วงลับในอีกมิติที่แตกต่างออกไป สามารถสื่อสารกับผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้นี่เอง สังคมโลกทุกวันนี้ เริ่มตระหนักถึงปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี้ และผู้คนเริ่มเห็นความเป็นไปได้ ที่จะสื่อสารถึงผู้ล่วงลับไปแล้วกันเพิ่มมากขึ้น

White Noise กำกับโดย เจฟฟรี้ แซ็ก (ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง Othello, Tipping the Velvet) นำแสดงโดย ไมเคิ้ล คีตั้น (Herbie: Fully Loaded, Multiplicity, Desperate Measures, Batman, Batman Returns, Beetlejuice), เด็บบอร่าห์ คาร่า อังเกอร์ (A Love Song for Bobby Long, Crash, The Game, The Hurricane), แชนดร้า เวสต์ (The Salton Sea, Universal Soldier II), เอียน แม็คนีซ (The Hitchhiker's Guide to the Galaxy, Around the World in 80 Days, A Life Less Ordinary, Ace Ventura: When Nature Calls)

White Noise ภาพยนตร์ที่สร้างจากผลการวิจัยนานหลายปี นีล จอห์นสัน ผู้เขียนบท และคณะผู้สร้าง จะนำท่านก้าวข้ามความสะพรึงแบบ Poltergeist กับ The Ring ไปอีกขุม...

กฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์

หนังพูดถึงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพลังงานเสียงที่เข้าไปบันทึกในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องบันทึกเสียงจากโทรศัพท์ หรือการได้รับโทรศัพท์มือถือ มาหา แต่ไม่ได้ยินเสียงพูด ปรากฏการณ์เสียงเหนือธรรมชาติ หรือ EVP เป็นสิ่งที่กลุ่มที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้กำลังศึกษาค้นคว้า โดยมีความเชื่อว่า วิญญาณของคนที่ตายไปแล้วต้องการสื่อสารกับคนที่เขายังห่วงอยู่ โดยใช้เครื่องบันทึกเสียงที่จัดทำขึ้น



ความเป็นไปได้ในความเป็นจริง

เสียงเป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งเป็นลักษณะคลื่น โดยอาศัยหลักการทำงานว่า เมื่อวัตถุต้นกำเนิดเสียงสั่น อนุภาคของอากาศที่สั่นจะได้รับการถ่ายทอดและส่งต่อไปยังแหล่งรับพลังงานเสียง ถ้าเป็นเสียงพูด เสียงต้องเกิดจากเส้นเสียงซึ่งถ้าเป็นวิญญาณพูดเอาเส้นเสียงที่ไหนมาพูดหรือวิญญาณก็มีตัวตนแบบเรา หรือวิญญาณพูดได้โดยไม่ต้องใช้เสียง หรือว่าเป็นการจิตในการแปลเป็นเสียง....ยังไม่เป็นความจริงเพราะยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ยอมรับ...รอต่อไป


science film - noise